เครื่องเล่น Digital Audio Player ของ Lotoo ที่เคลมว่ารองรับ microSD ถึง 2TB
อย่างไรก็ดีใช่ว่างบประมาณจะเป็นเรื่องเดียวที่คุณต้องสนใจ เนื่องจากอุปกรณ์ดิจิตอลแต่ละรุ่นมีความสามารถในการรองรับความจุสูงสุดของ microSD card ไม่เท่ากัน บางรุ่นรองรับเพียง 32GB บางรุ่น 64GB ขณะที่บางรุ่นรองรับมากกว่านั้นอย่างเช่นสมาร์ทโฟน Huawei Mate 8 ซึ่งรองรับถึง 128GB หรือ Samsung Galaxy S7 Edge ซึ่งรองรับถึง 200GB หรือเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาของยี่ห้อ Lotoo ซึ่งเคลมว่ารองรับ microSD card ได้ถึง 2TB ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อโดยการเลือกตัวแปรความจุข้อมูล อย่าลืมศึกษาสเปคฯ ของเครื่องที่จะเอา microSD card ไปใช้งานด้วยนะครับ
ความเร็วของ microSD card
นอกจากเรื่องความจุข้อมูลแล้ว 'ความเร็ว' ในการอ่านหรือบันทึกข้อมูลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ใช้แบ่งแยกคุณภาพและราคาของ microSD card เนื่องจากข้อมูลบางอย่างต้องการความรวดเร็วฉับไว หากตัวสื่อบันทึกข้อมูลไม่สามารถตอบสนองได้เร็วพอ การบันทึกข้อมูลลงไปก็อาจจะเกิดความบกพร่องเสียหายได้ นี่ยังไม่นับเรื่องของการถ่ายโอนข้อมูลกันระหว่างอุปกรณ์ซึ่งความเร็วของตัว microSD card ก็มีผลด้วยเช่นกัน
หลังจากที่พิจารณาเรื่องของความจุแล้ว ความเร็ว (speed bus) จึงเป็นเรื่องต่อมาที่ต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะการงานที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกภาพนิ่งด้วยความเร็วสูง (burst photos) หรืองานบันทึกวิดีโอรายละเอียดสูงอย่างเช่น วิดีโอ Full HD 1080P หรือ Ultra HD 4K การเลือก microSD card ที่เร็วกว่ามักจะให้ผลลัพธ์หรือประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีกว่าเสมอ แน่นอนว่าก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน และนั่นเป็นที่มาของการเลือกใช้ให้เหมาะสม
<ภาพประกอบจาก sdcard.org>
อุปกรณ์สมัยใหม่ในปัจจุบันแทบทั้งหมดจะรองรับมาตรฐานความเร็วสูงหรือ high-speed class ทั้ง 3 มาตรฐานดังต่อไปนี้ได้แก่ Class 10, UHS-1 Class 1 และ UHS-1 Class 3 โดยคำว่า UHS นั้นย่อมาจากคำว่า 'Ultra High Speed' บางครั้งอาจจะเห็นเขียนว่า UHS-I แทน UHS-1 คือใช้เลขโรมันแทนเลขอารบิคนั่นเอง
โดยทั่วไปเป็นไปได้ที่ microSDHC และ microSDXC จะมีให้เลือกใช้ทั้ง 3 Class เนื่องจากในการออกแบบนั้นเรื่องของ 'ความจุ' และ 'ความเร็ว' ไม่ได้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยตรง สำหรับความเร็วของ microSD card จะแบ่งแยกเป็นส่วนของการอ่านข้อมูล (read) และการบันทึกข้อมูล (write) ซึ่งผู้ผลิตมักจะแจ้งตัวเลขความเร็วสูงสุดเอาไว้เพื่อจูงใจผู้บริโภค แต่ในบทความนี้จะแจ้งเป็นตัวเลขความเร็วต่ำสุดของแต่ละ Class เพื่อให้คุณเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละ Class และสินค้าแต่ละรุ่นของแต่ละยี่ห้อ
Class 10 มีความเร็วต่ำสุดอยู่ที่ 10MB/s รองรับการถ่ายภาพนิ่งด้วยความเร็วสูงและวิดีโอ Full HD 1080P
UHS-1 Class 1 มีความเร็วต่ำสุดอยู่ที่ 10MB/s รองรับการถ่ายภาพนิ่งด้วยความเร็วสูงและวิดีโอ Full HD 1080P
UHS-1 Class 3 มีความเร็วต่ำสุดอยู่ที่ 30MB/s รองรับการถ่ายภาพนิ่งด้วยความเร็วสูง, วิดีโอ Full HD 1080P และ Ultra HD 4K
ความแตกต่างของการ์ด UHS-I และ UHS-II ที่จะเห็นว่ามีขั้วต่อเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แถว
<ภาพประกอบจาก sdcard.org>
นอกจากมาตรฐานความเร็วที่นิยมใช้แพร่หลายตามที่ว่ามาแล้ว ในปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งมาตรฐานความเร็วแต่ยังไม่เป็นที่นิยมใช้แพร่หลายและยังมีอุปกรณ์ที่รองรับอย่างจำกัดนั่นคือมาตรฐาน UHS-2 หรือ UHS-II ซึ่งจะมี pin ขั้วต่อพิเศษเพิ่มมาอีก 1 แถว จุดเด่นของ UHS-II คือความเร็วที่สูงมากระดับ 1000x-1800x ซึ่งบางยี่ห้ออย่างเช่น Lexar เคลมว่าสามารถอ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 270 MB/s และบันทึกได้ด้วยความเร็วระดับ 245 MB/s นับว่าเป็น microSD card ที่บ้าพลังใช้ได้เลย
microSD card UHS-II Class 3 ความเร็วสูงมากจาก Lexar
นอกจากที่ว่ามาแล้วในอดีตคุณอาจจะเคยเห็น Class 2, Class 4 หรือ Class 6 บนตัว microSD card ซึี่งปัจจุบันต้องบอกว่ามันล้าสมัยสุดๆ และไม่ควรเลือกซื้อมาใช้แล้ว นอกเสียจากว่าอุปกรณ์ของคุณเองก็ล้าสมัยสุดๆ ด้วยเช่นกัน
การอ่านสัญลักษณ์บนตัว microSD card
บนตัว microSD card การแจ้งตัวเลขความจุ (GB หรือ TB ถ้ามี) หรือประเภทของการ์ด (SDHC, SDXC) สำหรับยี่ห้อที่มีมาตรฐานสูงมักจะพิมพ์ให้เห็นกันอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องของความเร็วแต่ละ Class ก็มักจะแจ้งเอาไว้ด้วยเช่นกันเพื่อยืนยันความเร็วต่ำสุดที่ตัวการ์ดสามารถตอบสนองได้ อย่างเช่น Class 10 ก็จะเป็นตัวเลข 10 ที่ล้อมรอบด้วยตัวอักษร 'C' แต่ถ้าหากเป็น UHS-1 Class 1 และ Class 3 ก็จะเห็นเป็นตัวอักษร 'U' แล้วมีเลข 1 หรือ 3 อยู่ข้างใน บางครั้งเราอาจจะเห็นตัวอักษร 'I' หรือ 'II' ซึ่งเป็นเลขโรมันแสดงว่า microSD card นั้นๆ เป็น UHS-I หรือ UHS-II
ความแตกต่างของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่อยู่บนตัว microSD card
ระวังของปลอม ของเลียนแบบ ของคุณภาพต่ำ
“ของถูกและดีไม่มี มีแต่ของดีราคาสมเหตุสมผล” ยังคงเป็นคำแนะนำที่สามารถนำมาใช้ได้กับเวลาเลือกซื้อ microSD card หลายครั้งที่เห็นของราคาถูกผิดปกติให้หยุดคิดสักนิด แล้วพิจารณาดูว่าทำไมมันถึงได้ถูกนัก มีอะไรไม่ชอบมาพากลแอบซ่อนอยู่หรือเปล่า ยิ่งพักหลังมานี้เรามักจะหาซื้อ microSD card ได้ง่ายมากจากตามร้านขายของทั่วไปตามตลาดสินค้าจิปาถะ หรือตามงานแสดงสินค้าไอที หรืออาจจะง่ายกว่านั้นคือการช้อปปิ้งออนไลน์ โอกาสมีความเสี่ยงจะเจอสินค้าคุณภาพต่ำ สินค้าทำปลอมหรือจงใจทำเลียนแบบให้ดูคล้ายของมียี่ห้อ เป็นอะไรที่พบเห็นได้ง่ายมากๆ บางทีวางขายกันเกร่อตามงานแสดงสินค้าไอทีก็มีบ่อยๆ
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อเรื่องแรกที่ต้องพิจารณาก็คือ อย่าเห็นแก่ของราคาถูก ข้อควรพิจารณาต่อไปก็คือ ให้เลือกยี่ห้อที่ไว้ใจได้ ก็ยี่ห้อที่คุ้นเคย เคยได้ยินมาก่อน หรือสินค้าที่มีการรับประกัน จะเป็นการรับประกันระยะยาว รับประกันคืนเงินหากไม่พอใจสินค้า หรือรับประกันใดๆ ก็ได้ครับที่มั่นใจได้ว่าถ้าไม่ชอบใจหรือตรวจพบว่าเป็นของไม่มีคุณภาพตามที่คาดหวัง จะสามารถเปลี่ยนคืนเป็นเงินกลับมาได้ ถ้าไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้ ขอเตือนว่า 'อย่าเสี่ยง' มีร้านค้าหรือแหล่งอื่นๆ ให้เลือกซื้ออีกเยอะครับ หรือถ้าหากต้องการตรวจสอบก็ลองเข้าไปที่เวบไซต์ thecounterfeitreport.com หรือค้นหาข้อมูลจาก Google เพื่อตรวจสอบในเบื้องต้นก่อนก็ดีครับ
ที่มาของข้อมูล : มนตรี คงมหาพฤกษ์ GM2000