www.diyaudiovillage.net
DIY มือใหม่ , TIPS & TRICKS , R&D SECTION => R&D SECTION => ข้อความที่เริ่มโดย: audiomania ที่ 17 มกราคม 2012, 08:45:41 PM
-
สืบเนื่องจากหลายๆ กระทู้ที่ผ่านมา ทั้งปรีกบ เกนโคลน ที่ลองเล่นกันมาก็เยอะ ก็จะมีปัญหาบางกรณีที่พบเจอกันบ้างและมีข้อสงสัยกัน
ออปแอมป์ตัวเล็กที่ใช้ในปรี หรือแม้กระทั้งออปแอมป์ยักษ์อย่าง LM1875 3875 3886 หลักการทั่วไปก็จะคล้ายๆกัน ต่างกันที่ความสามารถในการรับแรงดัน-ขับกระแสโหลด เท่านั้นเอง
คราวนี้เราจะมาดูกันว่ากลไกการทำงานอย่างง่ายของวงจรขยายมันเป็นยัง
โดยเริ่มจากวงจรขยายแบบไม่กลับเฟสน่ะก่อนครับ ดูรูปวงจรทั่วไปกันก่อน
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental01.gif)
จากรูปจะเห็นว่า แรงดันขาออกจะขยาย "มากกว่า หรือ เท่ากับ" ขาเข้าเสมอ โดยอัตราส่วนการขยายกำหนดจาก RNFB กับ RNI
ถ้า RNFB เป็น 0 หรือต่อลวดจัมพ์ เกนก็จะเท่ากับ 1 ซึ่งวงจรจะทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์นั่นเอง
จากวงจรด้านบน... ถ้าเราต้องการลดสัญญาณได้และขยายได้ด้วย จะทำยังไง?.... เพราะสมการบอกว่ามันได้มากกว่าหรือเท่ากับเท่านั้น...
ก็ลดทอนสัญญาณลงก่อนที่ขยายสิครับ... ใส่ Attenuator ตัวลดทอนซะ จะเป็น R แบ่งแรงดันไปตรงๆ หรือใส่เป็นโวลุ่มปรับสะดวกก็ได้
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental02.gif)
คราวนี้ มาดูการคำนวณนิดหน่อย
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental03.gif)
นั่นหมายถึง ถ้าสัญญาณขาเข้ามามีแรงดัน offset เลื่อนจากสัญญาณปกติ แรงดัน offset ก็ย่อมที่จะถูกขยายออกไปด้วย เช่น ถ้าตัวอย่างให้ RNFB กัย RNI มีค่าเท่ากัน เกนขยายจะเท่ากับ 2 สัญญาณที่ป้อนมาแบบไหน ก็จะถูกขยาย 2 เท่า ด้วยเช่นกันตามรูป
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental04.gif)
แต่ถ้าเราตัด offset ด้วย C coupling และ R IN ดึงสัญญาณลงกราวด์ เราจะได้ผลลัพธ์ที่จะลดส่วนที่ไม่ต้องการลงได้
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental05.gif)
แต่ออปแอมป์ในโลกนี้ก็ใช่ว่าจะเพอร์เฟคไปซะทุกเรื่อง โดยเฉพาะออปแอมป์ตัวใหญ่ๆ ที่ทำหน้าที่แอมป์ขยายเสียงอย่าง LMxxxx ที่บางครั้งเอาต์พุตมักจะแถม DC Offset ออกมาด้วย [n_o]
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental06.gif)
วิธีแก้อย่างรวดเร็วคือ เอา C ใหญ่ๆ ใส่อนุกรมไว้ที่ RNI เพื่อทำหน้าที่เป็น Integrator ค่อยๆกำจัดส่วนเกินออก จนกระทั่งใกล้ 0 (กราวด์) มากขึ้น
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental07.gif)
เอาหลักการคร่าวๆ ไว้ใช้แก้ปัญหาก่อนครับ เพราะเป็นการเรียนลัดแบบสุดๆ [roll]
มาต่อ.. เนื่องจากออปแอมป์ในโลกนี้ ตัวที่แบนด์วิดธ์ต่ำก็ตอบสนองความถี่ได้ไม่สูงนัก ความไวต่อการออสซิลเลตอันเนื่องมาจากการป้อนกลับก็ไม่มาก
แต่ในระยะหลังเทคโนโลยีดีขึ้น ออปแอมป์บางตัวตอบสนองความถี่ GBW บางตัวไปถึงระดับ MHz ซึ่งเราไม่ได้ใช้ในงานเสียง เวลาป้อนกลับ ความเหนี่ยวนำแฝงใน R และช่วงเวลาเดินทางระหว่างการป้อนกลับสัญญาณนั้น บางครั้งมันก็ช้าเกินไป ทำให้ที่ความถี่สูงๆ ที่เราไม่ได้ใช้งาน แต่เปิดช่องให้ทำงานได้จะเป็นจุดเสี่ยงและมีโอกาสเกิดออสซิลเลตได้ (ในรูปไม่ได้แสดงการพลอตกราฟ เฟสตอบสนองนะครับ เพราะเดี๋ยวจะงงไปใหญ่ รายละเอียดพักๆ เอาไว้ก่อน)
ถ้าทดลองป้อนสัญญาณแบบสี่เหลี่ยมคางหมู เราอาจจะได้ของแถมเป็น Overshoot ยอดแหลมมาด้วย เสียงจะเสียดๆ หูพิลึก บางคนก็เรียกเสียงแบบนี้ว่าขึ้นขอบ(มั๊ง)
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental08.gif)
ดังนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะลดผลของแบนด์วิทธ์ที่เกินมานั้น ก็คือ กดแบนด์วิดธ์ลงครับ เอา C ค่าเล็กๆ ปกติใช้อยู่ราวๆ 3 ถึง 22pF เพื่อผ่านความถี่สูงให้ถูกป้อนกลับมากขึ้น ส่งผลให้ความถี่ที่เอาต์พุตจะลดทอนการขยายเสียงความถี่สูงลง และจะทำให้ระบบมีเสถียรภาพในช่วงความถี่ทำงานของเรามากขึ้น
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental09.gif)
คราวนี้ ถ้ากรณีที่น่าจะ "เอาอยู่" แล้วทำแล้ว "มันยังเอาไม่อยู่ล่ะ" หรือ "เสียวจะเอาไม่อยู่"
กลัวจะเกิดเหตุการณ์เอาต์พุตออสซิลเลตแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แบบนี้
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental10.gif)
ก็เลยต้องมีปราการด่านสำคัญ เอาไว้ป้องกันลำโพงสุดรักสุดหวง ไม่ให้ทวีตเตอร์ลาลับควันขึ้นไปซะก่อนจากยอดแหลมๆ แรงๆ ที่เรามองไม่เห็น เลยต้องใส่ R C Zobel ตัดลงกราวด์ ก็คือทำหน้าที่ Low pass filter นั่นเอง ความถี่เกินกว่าที่กำหนด ลดทอนสัญญาณมันออกไปซะจะลดความเสี่ยงลง
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental11.gif)
แต้ถ้ายังไม่หาย "เสียว" ก็ต้องเสริมอีกชั้นนึงครับ L R Zobel อนุกรมสัญญาณ ทำหน้าที่ Low pass filter ไปอีกทอดหนึ่ง ซึ่งจะมั่นใจได้มากกว่าที่ผ่านมาแน่นอน แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยเสียงที่จะถูกทอนสัญญาณลงไปด้วยเช่นกัน แต่ก็ชัวร์น๊า...
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental12.gif)
คราวนี้มาดูหลักทำงานของออปแอมป์ มันเป็น Different Amp. จะเป็น Bipolar transistor หรือ JFET ก็ปรับใช้ตามสะดวกครับ
ในที่นี้ให้เราถือว่าออปแอมป์เราเป็นของดี (แค่ไม่อยากใช้คำว่าอุดมคติเหมือนในหนังสือ [roll])
เกนขยายเยอะแยะ แหล่งจ่ายไฟมีให้ไม่อั้น และอินพุตรับสัญญาณได้กว้างด้วยเช่นกัน
หลักการการขยายทั่วไปมีแค่ 3 ข้อ นอกเหนือจากนี้คือขอบเขตการทำงานครับ
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental14.gif)
ดังนั้น ไล่การทำงานตามหลักการทำงาน 3 ข้อของ Diff. Amp. พอ
สมมติวงจร ตามรูปครับ ให้ RNFB 20k , RNI 10k แล้วป้อนไฟเข้ามา 2V. อย่าเพิ่งคำนวณจากสูตรนะครับ ให้คำนวณจากพฤติกรรมจริงของวงจร ตามรูป
(แก้ไขแล้ว ขอบคุณน้า civicdotcom ครับ))
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental15.gif)
จะเห็นที่มาของสูตรว่ามันมายังไงครับ และวิธีคิดแบบเดียวกัน ก็เอาไปใช้กับวงจรแบบ Invert Amp. ได้เช่นกัน ตามนี้ครับ
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental16.gif)
-
อาจารย์เหมือนสร้างบันไดให้ลูกศิษย์เลยครับ
-
อย่าลืมวิธีการคำนวณ Rin Cin ด้วยนะครับ อาจารย์ [yes-raccoon]
-
[clap hand2] [clap hand2] [clap hand2] [res] [res] [res]
-
อย่าลืมวิธีการคำนวณ Rin Cin ด้วยนะครับ อาจารย์ [yes-raccoon]
ท่านผู้อำนวยการมาตรวจงานแล้ว
-
ต่อ ต่อ ต่อ ครับ มาขอปูเสื่อรอด้วยคน [clap hand2] [clap hand2] clapping-1-2 clapping-1-2
-
สืบเนื่องจากหลายๆ กระทู้ที่ผ่านมา ทั้งปรีกบ เกนโคลน ที่ลองเล่นกันมาก็เยอะ ก็จะมีปัญหาบางกรณีที่พบเจอกันบ้างและมีข้อสงสัยกัน
ออปแอมป์ตัวเล็กที่ใช้ในปรี หรือแม้กระทั้งออปแอมป์ยักษ์อย่าง LM1875 3875 3886 หลักการทั่วไปก็จะคล้ายๆกัน ต่างกันที่ความสามารถในการรับแรงดัน-ขับกระแสโหลด เท่านั้นเอง
คราวนี้เราจะมาดูกันว่ากลไกการทำงานอย่างง่ายของวงจรขยายมันเป็นยัง
โดยเริ่มจากวงจรขยายแบบไม่กลับเฟสน่ะก่อนครับ ดูรูปวงจรทั่วไปกันก่อน
([url]http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental01.gif[/url])
จากรูปจะเห็นว่า แรงดันขาออกจะขยาย "มากกว่า หรือ เท่ากับ" ขาเข้าเสมอ โดยอัตราส่วนการขยายกำหนดจาก RNFB กับ RNI
ถ้า RNFB เป็น 0 หรือต่อลวดจัมพ์ เกนก็จะเท่ากับ 1 ซึ่งวงจรจะทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์นั่นเอง
จากวงจรด้านบน... ถ้าเราต้องการลดสัญญาณได้และขยายได้ด้วย จะทำยังไง?.... เพราะสมการบอกว่ามันได้มากกว่าหรือเท่ากับเท่านั้น...
ก็ลดทอนสัญญาณลงก่อนที่ขยายสิครับ... ใส่ Attenuator ตัวลดทอนซะ จะเป็น R แบ่งแรงดันไปตรงๆ หรือใส่เป็นโวลุ่มปรับสะดวกก็ได้
([url]http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental02.gif[/url])
การแบ่งแรงด้านถ้าเราใช้แต่ R1 โดยไม่ต่อ R2 ลงกราวนด์ได้หรือไม่ครับ
-
ขอบคุณครับ ภาคทฤษฏีมาแล้ว ภาคปฏิบัติก็เยี่ยมแน่ๆ [res]
-
([url]http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental02.gif[/url])
การแบ่งแรงด้านถ้าเราใช้แต่ R1 โดยไม่ต่อ R2 ลงกราวนด์ได้หรือไม่ครับ
ถ้าไม่ใส่ R2 แรงดันแทบจะไม่ถูกลดทอนเลยครับ เพราะตามทฤษฎี ค่า R Impedance ของออปแอมป์มีค่าสูงมาก เป็นร้อยๆ kOhm ได้มาเท่าไหร่ ก็จะส่งต่อไปเท่านั้นล่ะครับ [gr_in]
-
พลาดไม่ได้ ขอลงทะเบียนเรียนวิชานี้ด้วยครับอาจารย์
[res] [res]
-
[yes-raccoon] [clap hand2] [clap hand2]
-
ขอบคุณครับ ผมไม่ถามแทรกแล้วครับ รอสรุปแล้วถามทีเดียวเลย
-
อ่า.. ช่วงนี้เอาหลักการเบื้องต้นไว้เท่านี้ก่อน ก็พอจะเป็นแนวทางแก้ปัญหาของหลายๆท่านได้
เดี๋ยวจะทะยอยหามาเพิ่มอีกทีครับผม [yes-raccoon]
-
[unde_cided]คอสนี้มีเรียนสดด้วยมั้ยครับ
-
[unde_cided]คอสนี้มีเรียนสดด้วยมั้ยครับ
ตอนนี้มีแบบแห้งก่อนครับ แต่จากหลักการพื้นฐานนี้ เอาไว้ใช้แต่งวงจรขยายได้ทุกวงจร โดยเฉพาะส่วน C comp คร่อม feedback ที่สามารถประยุกต์ได้อีกเยอะครับ
เดี๋ยวขอรวบรวมข้อมูล (กะวาดรูป) เรื่องต่อๆไปก่อนครับ แล้วจะทะยอยเอามาลงเพิ่มอีกที [smi_ley]
-
ขอบคุณอย่างสูงสำหรับความรู้ที่ได้รับครับ
-
ฝากการบ้านไว้ลองคิดเล่นๆ รูปที่ 13 Lucky number พอดี
กรณีที่วงจรปกติดีทุกอย่างและสัญญาณขาเข้าไม่มี offset เพอร์เฟค
แต่...
มี Mr.ซน1 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNFB แนวโน้มเสียง OUTPUT1 ที่จะได้จาก Mr.ซน1 จะเกิดอะไรขึ้น
กับ Mr.ซน2 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNI แนวโน้มเสียง OUTPUT2 ที่จะได้จาก Mr.ซน2 จะเกิดอะไรขึ้น [roll]
อ้อ.. ยังไม่มีรางวัลนะครับ ยังนึกไม่ออก 3-2-1-raccoon
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental13.gif)
-
ขอบคุณครับ อาจารย์ [res] [res]
-
[res] มือใหม่มาเข้าเรียนด้วยครับ [res]
-
ลบที่ไม่เกี่ยวข้องออกก่อนก็ได้ครับน้าแว่น ให้เนื้อหาต่อกันม้วนเดียวไปเลยครับ
-
ผม งงครับว่าทำไมนัก DIY หลาย ๆ ท่านเรียก LM1875 LM3875 LM3886 หรือเบอร์อื่น ๆ ที่เป็น Power Amplifier IC ว่า Op-Amp จริง ๆ ความหมายมันต่างกันไม่ใช่หรือครับอาจารย์
-
ฝากการบ้านไว้ลองคิดเล่นๆ รูปที่ 13 Lucky number พอดี
กรณีที่วงจรปกติดีทุกอย่างและสัญญาณขาเข้าไม่มี offset เพอร์เฟค
แต่...
มี Mr.ซน1 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNFB แนวโน้มเสียง OUTPUT1 ที่จะได้จาก Mr.ซน1 จะเกิดอะไรขึ้น
กับ Mr.ซน2 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNI แนวโน้มเสียง OUTPUT2 ที่จะได้จาก Mr.ซน2 จะเกิดอะไรขึ้น [roll]
อ้อ.. ยังไม่มีรางวัลนะครับ ยังนึกไม่ออก 3-2-1-raccoon
ขอลองมั่วตอบร่วมสนุกด้วยนะครับ
ผมคิดว่า มันคือการจัดการ ควบคุม ทั้งเกน และ banwidth (ชดเชยความถี่) เพื่อให้ได้คุณลักษณะของวงจรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามลักษณะการใช้งานครับ
เช่น วงจร ปรีโฟโน RIAA , Active Crossover , Notch Filter เป็นต้นครับ
[thif]
-
ผม งงครับว่าทำไมนัก DIY หลาย ๆ ท่านเรียก LM1875 LM3875 LM3886 หรือเบอร์อื่น ๆ ที่เป็น Power Amplifier IC ว่า Op-Amp จริง ๆ ความหมายมันต่างกันไม่ใช่หรือครับอาจารย์
ผมเรียกว่ามันเป็นออปแอมป์ยักษ์ เพราะการทำความเข้าใจกับมันไม่ต่างกันนัก ต่างกันที่รายละเอียดในการใช้ปลีกย่อยนิดหน่อย [smi_ley]
แต่เมื่อเจาะลงวัตถุประสงค์ของการใช้งานชิพนั้นๆ ผมจะเรียกตามฟังก์ชั่นของมันครับ
เพราะบางครั้งผมก็เอา LM1875 ไปขับมอเตอร์ทำเซอร์โวอะนาลอกย่อมๆ เล่นเหมือนกัน [roll]
หลักๆ เลย ผมจะแยกตัวพื้นฐานกับตัวพิเศษอย่างพวก OTA, NORTON Amp., Log amp. กับอีกตัวที่ใช้งานกับลอจิกจำพวก Comparator ไว้ต่างหาก
ที่เหลือคือ Op-Amp ทั้งหมด การคำนวณไม่ต่างกัน
Operational Amplifiler พื้นฐาน ก็คือการจัดวงจร Different Amplifier เพียงแค่ขอบเขตการใช้แต่ละตัวที่ต่างกัน ที่สำคัญได้แก่
- ช่วงแรงดันไฟเลี้ยงทำงาน
- ช่วงแรงดันสัญญาณ เข้า-ออก มี Headroom เท่าไหร่ หรือ แทบจะเท่ากับ +-VS จนเรียกได้ว่าเป็น Rail to rail
- ชนิดของอินพุต และเอาต์พุต ที่มีผลต่ออิมพิแดนซ์กับอุปกรณ์ที่ต่อพ่วง และความสามารถในการขับกระแส
- ความสามารถ(ความไว)ในการสวิงสัญญาณ
- GBW แบนด์วิดธ์ ช่วงตอบสนองความถี่ที่ทำงานได้
งานหนัก พวกงาน power amp. ก็จะต้องมีความสามารถในการขับโหลด inductive capacitive กระแสสูงได้ดี รับ Power Dissipation ได้เยอะ, GBW ไม่ต้องสูงมากนัก
แต่ถ้างานปรีแอมป์ อินพุตอิมพิแดนซ์ควรจะสูง, GBW มีมากพอที่จะจัดวงจรป้อนกลับแล้วยังครอบคลุมช่วงความถี่ใช้งาน, ออปชั่นอื่นที่ต้องดูก็เป็น DC Offset Drift, Low noise เป็นหลัก
งานเครื่องเสียง จะทำให้ง่ายมันก็ง่ายครับ แต่ถ้าอยากทำให้ยาก แบบพวกเครื่องมือวัดก็ทำได้เหมือนกัน แล้วแต่ว่าจะจริงจังกับมันแค่ไหนเท่านั้นเอง [yes-raccoon]
-
ฝากการบ้านไว้ลองคิดเล่นๆ รูปที่ 13 Lucky number พอดี
กรณีที่วงจรปกติดีทุกอย่างและสัญญาณขาเข้าไม่มี offset เพอร์เฟค
แต่...
มี Mr.ซน1 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNFB แนวโน้มเสียง OUTPUT1 ที่จะได้จาก Mr.ซน1 จะเกิดอะไรขึ้น
กับ Mr.ซน2 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNI แนวโน้มเสียง OUTPUT2 ที่จะได้จาก Mr.ซน2 จะเกิดอะไรขึ้น [roll]
อ้อ.. ยังไม่มีรางวัลนะครับ ยังนึกไม่ออก 3-2-1-raccoon
ขอลองมั่วตอบร่วมสนุกด้วยนะครับ
ผมคิดว่า มันคือการจัดการ ควบคุม ทั้งเกน และ banwidth (ชดเชยความถี่) เพื่อให้ได้คุณลักษณะของวงจรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามลักษณะการใช้งานครับ
เช่น วงจร ปรีโฟโน RIAA , Active Crossover , Notch Filter เป็นต้นครับ
[thif]
น้าม่อน มาใกล้เคียงครับ เดี๋ยวผมจะเฉลยก่อน แล้วจะคิดเลขแบบง่ายๆ ให้ดูครับว่ามันคืออะไร [smi_ley]
ของ Mr.ซน1 ถ้าปรับค่าเหมาะๆ เสียงช่วงเบสจะถูกยกเพิ่มครับ (Bass boost)
ส่วนของ Mr.ซน2 ถ้าปรับค่าเหมาะๆ เสียงช่วงแหลมจะถูกยกเพิ่มครับ (Treble boost)
-
ฝากการบ้านไว้ลองคิดเล่นๆ รูปที่ 13 Lucky number พอดี
กรณีที่วงจรปกติดีทุกอย่างและสัญญาณขาเข้าไม่มี offset เพอร์เฟค
แต่...
มี Mr.ซน1 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNFB แนวโน้มเสียง OUTPUT1 ที่จะได้จาก Mr.ซน1 จะเกิดอะไรขึ้น
กับ Mr.ซน2 หา R C มาเพิ่มขนานเข้ากับ RNI แนวโน้มเสียง OUTPUT2 ที่จะได้จาก Mr.ซน2 จะเกิดอะไรขึ้น [roll]
อ้อ.. ยังไม่มีรางวัลนะครับ ยังนึกไม่ออก 3-2-1-raccoon
ขอลองมั่วตอบร่วมสนุกด้วยนะครับ
ผมคิดว่า มันคือการจัดการ ควบคุม ทั้งเกน และ banwidth (ชดเชยความถี่) เพื่อให้ได้คุณลักษณะของวงจรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามลักษณะการใช้งานครับ
เช่น วงจร ปรีโฟโน RIAA , Active Crossover , Notch Filter เป็นต้นครับ
[thif]
น้าม่อน มาใกล้เคียงครับ เดี๋ยวผมจะเฉลยก่อน แล้วจะคิดเลขแบบง่ายๆ ให้ดูครับว่ามันคืออะไร [smi_ley]
ของ Mr.ซน1 ถ้าปรับค่าเหมาะๆ เสียงช่วงเบสจะถูกยกเพิ่มครับ (Bass boost)
ส่วนของ Mr.ซน2 ถ้าปรับค่าเหมาะๆ เสียงช่วงแหลมจะถูกยกเพิ่มครับ (Treble boost)
ซน 1 มันคือ Filter ใช่ไหมครับ กรองเอาความถี่สูงลงกราวนด์ ควบคุม โดย R ซน 1
ส่วนซน 2 คือการนำความถี่สูงมาขยายต่อโดยควบคุมด้วยค่าของ R ซน 2
ค่าของความถี่คือการเปลี่ยนค่าของ Cซน 2 ใข่หรือไม่ครับ
-
ซน 1 มันคือ Filter ใช่ไหมครับ กรองเอาความถี่สูงลงกราวนด์ ควบคุม โดย R ซน 1
ส่วนซน 2 คือการนำความถี่สูงมาขยายต่อโดยควบคุมด้วยค่าของ R ซน 2
ค่าของความถี่คือการเปลี่ยนค่าของ Cซน 2 ใข่หรือไม่ครับ
เดี๋ยวจะเฉลยให้ดูครับว่าทำไม ขออธิบายที่มาที่ไปก่อนของออปแอมป์ก่อน
เดี๋ยวดูปุ๊บจะเข้าใจมันจริงๆ มันไม่ได้ยากนัก จะได้ลดความน่าเบื่อในการจำด้วยครับ [roll]
-
รูปนี้จะเป็นวิธีคิดอย่างง่ายที่จะมาตอบคำถามที่ถามไว้อีกที
แก้ไขรูปกราฟแล้วครับ เอาเข้า Simulation ดูแนวโน้มได้ทั้งเกนและเฟสครับ
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental17.gif)
จะสังเกตว่า ค่า Xc ที่ความถี่สูงขึ้น จะมีค่าความต้านทานเชิงซ้อนต่ำลง
แต่ถ้าความถี่ต่ำๆ ค่า Xc จะมีค่าความต้านทางเชิงซ้อนสูง ทำให้สัญญาณหลังผ่าน C ไปที่ R ลดทอนลงตามอัตราส่วนแบ่งแรงดัน
ในกรณีของ R โหลด เป็น 10k จะเห็นว่าช่วงสัญญาณความถี่ต่ำถูกลดทอนไปมาก
แต่ถ้า R โหลด สูงขึ้นเป็น 100k การลดทอนก็จะลดลงครับ
จากจุดนี้จะตอบคำถามเรื่อง C Coupling ที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับวงจรปรี วงจรแอมป์ ฯลฯ ได้อย่างไร
คราวนี้กลับมาที่โจทย์ 13 ของเรา
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental13.gif)
กรณี ซน1 ชุด R C อนุกรมนี้ คิดไวๆ ตามหลักการที่ว่ามา ความถี่สูง Xc ลด , ความถี่ต่ำ Xc เพิ่ม
เมื่อบวกรวมกับ R และคิดค่าขนานกับ RNFB แล้ว network R || R+C นี้ คิดแนวโน้มตามสูตรจะได้ว่า
ที่ความถี่ต่ำจะมีค่าเยอะ แปลว่า เกนเยอะกว่า
และที่ความถี่สูงจะมีค่าน้อยกว่าด้านบน แปลว่าเกนต่ำกว่า
สรุปคือ ที่เสียงเบสจะทำงานที่เกนขยายเยอะกว่า ที่จุดเสียงความถี่สูง สรุปคือวงจรนี้มีการทำงานเป็น Bass Boost..
กรณี ซน2 ก็คิดคล้ายกัน แต่ตำแหน่งที่เปลี่ยนจะอยู่ที่ตำแหน่งของ RNI
เมื่อคิดค่าขนานกับ RNI แล้ว network R || R+C นี้ คิดแนวโน้มตามสูตร ลงในตำแหน่ง RNI จะได้ว่า
ที่ความถี่ต่ำจะมีค่ากลุ่ม RNI เยอะ แปลว่า เกนน้อย
และที่ความถี่สูงจะมีค่ากลุ่ม RNI น้อยกว่าด้านบน แต่แทนในสูตรแล้วแนวโน้มเกนสูงกว่า
สรุปคือ ที่เสียงแหลมจะทำงานที่เกนขยายเยอะกว่า ที่จุดเสียงความถี่ต่ำ สรุปคือวงจรนี้มีการทำงานเป็น Treble Boost.. ครับ
ถ้าอยากจะคิดต่อ อย่างกรณีต่อเป็น T Network , หรือ Pi Network ก็ค่อยๆ คิด Xc แล้วมาพล็อตบน Excel ดูผลก็ได้ครับ สนุกดี [smi_ley]
-
วันนี้มาอีกหน่อยนึง กรณีศึกษาปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับบางท่าน ตอนทำปรี seeeeeeddd...d
เวลาต่อสัญญาณจาก DAC หรืออุปกรณ์ที่แรงๆ มา แล้วเสียงแตก... [confused-raccoon]
ถ้าจำลองเหตุการณ์คร่าวๆ วงจรดังรูปนะครับ ส่วนใหญ่วงจรเอาต์พุตของเครื่องเหล่านี้มักจะมี C output อยู่ และน่าจะออกแบบเพื่อให้ต่อสายได้ไกลนิดนึง และเผื่อโหลดด้วย
ทำให้เปิดช่วงแบนด์วิทธ์ไว้กว้าง จนปริ่มๆ จะเกิด Overshoot แล้ว พอผ่านเข้ามาที่ปรีของเรา ซึ่งออปแอมป์เทพ และ R IN2 มีค่าโอห์มสูงมากๆ เพราะเรารู้ว่าถ้าค่าน้อยมันจะกดแบนด์วิทธ์ พอดีเราอยากได้ปลายแหลมแหล่มๆ เลยจัดเต็ม [roll]
แต่เต็มมากไปหน่อย กอร์ปกับต้นทางก็ปล่อยเต็มเหมือนกัน เลยล้นครับ.. (ระหว่างทางที่อาจจะมีสิ่งแปลกปลอมมาแวะเวียนได้อีก) ทำให้สัญญาณเกิด Critical dampling หรือแย่กว่าก็ออสซิลเลตย่อมๆไปเลย สัญญาณเน่า เสียงก็เลยเน่าครับ แถมเน่าดังซะด้วย
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental18.gif)
ดังนั้น จากเรื่อง R-C ก่อนหน้านี้ เลยเป็นพระเอกขี่ม้าขาวทันที หลังจากทดลองใส่ R 47k คร่อมอินพุตตรงแจค RCA ของปรีขาเข้าแล้ว หายสนิท...
ก็เพราะมันไปกดแบนด์วิทธ์ของเอาต์พุตแหล่งกำเนิดในช่วงที่ไม่ต้องการนั่นเอง ทำให้วงจรโดยรวมทั้งสองส่วนจะมีเสถียรภาพมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
(http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental19.gif)
เพราะบางครั้ง พวก DAC หรือสัญญาณจากเครื่องเล่น มันออกแบบเผื่อเอาไว้สำหรับใช้กับโหลดค่าต่ำๆ อย่างหูฟังได้เลย ดังนั้นเมื่อเราเอาปรีมาต่อซึ่งอิมพิแดนซ์สูงกว่ามากๆ ที่เค้าเผื่อเอาไว้มันเลยมากเกินความจำเป็นน่ะครับ
ก็ต้องมาโหลดช่วยมันอีกที ที่ปรีของเราครับ clapping-1-2
-
วันนี้หมดมุขเท่านี้ก่อน ท่านใดสงสัยมีกรณีศึกษา ถามได้เลยครับ เดี๋ยวจะพยายามหาคำตอบให้
ถ้าตอบไม่ได้ ก็จะไปหาข้อมูลเพิ่มอีกที fart-raccoon
-
ถ้าจะเป็นนักปรุงแต่งเสียงที่ดี จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้างครับ? นอกจากทฤษฎีที่อาจารย์ได้บอกไว้
-
ถ้าจะเป็นนักปรุงแต่งเสียงที่ดี จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้างครับ? นอกจากทฤษฎีที่อาจารย์ได้บอกไว้
ป๊าดคำถาม [no-raccoon]
อ่า.. คำตอบหลังจากนี้ไม่ได้กวนนะครับ เป็นความเห็นส่วนตัวผมเอง
ทฤษฎีมีไว้เป็นแนวทางจะได้ไม่หลง และเครื่องมือมีไว้พิสูจน์แนวทาง
แต่เครื่องมือที่ดีสุดคือควรมีคือ สุขภาพหูที่ดี ไม่มีขี้หู laughhahaha
กับสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ นอนเพียงพอครับ จะได้มีสมาธิ ไม่โอนเอียงเวลาทดสอบ [yes-raccoon]
ส่วนระบบอื่นๆ คือลำโพงที่เชื่อถือได้ ฟังบ่อยๆจนขึ้นใจ
แหล่งกำเนิดเสียงที่ดีพอ และรู้จักตัวตนของมันดีในระดับนึง เช่นของผมใช้ CD Player ของ Audiolab เพราะมัน Flat ปลายแหลมยังไม่สุดนัก และเบสล่างยังไม่เต็ม แต่มันเป็นบุคลิกที่เราจำได้
รวมถึงเพลงอัลบั้มที่คุ้นหู หลายๆแนว หลายๆค่าย ฟังบ่อยจนเรียกได้ว่าฮัมเพลงตามได้และชี้นิ้วได้เลยว่าอะไรจะมา อะไรจะไป ลำดับเรียงตัวหน้าเวที และยืนเรียงถอดหลังไปยังไง
เวลาเอาปรีหรือแอมป์ DUT : Device Under Tested มาขึ้นเขียงจะได้รู้กันจะๆไปเลยว่าเป็นยังไง
เริ่มจากเปิดเครื่องฟังแบบไม่ตั้งใจก่อน จากนั้นเปิดทิ้งไว้ซักชั่วโมง แล้วกลับมาฟังจริงจังใหม่
ถ้าเป็นเครื่องที่เพิ่งทำมาใหม่ๆ ให้วนทำสองขั้นตอนนี้ทุกวัน สะสมไปเรื่อยๆ จะได้ยินพัฒนาการตลอดช่วงการฟัง
จนกว่าจะการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเริ่มเข้าที่ตลอด ซึ่งมักจะนับชั่วโมงบินได้อย่างน้อย 100 ชั่วโมง เราจะเรียกช่วงเวลาที่คงหลังจากนี้ ว่าพ้นช่วง Burn-in แล้วน่ะครับ
-
ปกติค่า R และ C Zobel ที่ต่อขั้วลำโพงลงกราวด์ ที่ทำหน้าที่ Low pass filter นิยมใส่ค่าเท่าไหร่ครับ [confused-raccoon]
กรณีพาวเวอร์แอมป์ ของโหลดลำโพง 8 Ohm มักจะใส่ค่ายอดฮิตที่ R 10 Ohm และ C 0.1uF ครับ เดี๋ยวจะเอาเข้า Simulation ให้ดูอีกทีว่ามันไปตัดช่วงความถี่ไหน
แต่ถ้าเป็นของลำโพงโฮมเธียเตอร์ 6 Ohm จะคงค่าเดิมก็ได้ หรือบางเจ้า ก็ปรับ Zobel ใหม่ให้เหมาะสมมากขึ้นก็มีให้เห็นครับ
แล้ว R+C Zobel มีผลต่อเสียงมากไหมครับ
ถ้าเราลดทอนมันเยอะเกินไปมากๆ ก็มีผลครับ เฟสของปลายแหลมจะบิดตัวครับ
มาแล้วครับ ผลจากการ Simulation เปรียบเทียบ Zobel 3 กรณี ที่โหลดลำโพง 8 โอห์ม
(http://www.opcube.com/diy/ZobelSimulation01.gif)
สีฟ้าคือ R 10 Ohm + C 0.1uF
สีบานเย็นคือ R 4.7 Ohm + C 0.047uF
สีเขียวคือต่อทั้งสองชุดขนานกัน
กราฟบนคือเกนขยายครับ อัตราลดทอนความถี่จะต่างกันไป ที่การตอบสนองลดลง 3dB ช่วงเสียงที่รับฟังผ่านได้สบายๆ เกิน 200kHz ทุกตัว
ส่วนกราฟล่างคือการบิดตัวของเฟสสัญญาณครับ เราดูที่ตำแหน่ง 20kHz สีเขียวบิดเฟสไป 10 องศา, สีฟ้า 6.2องศา และ สีบานเย็น 3 องศา
ถามว่าความเหมาะสมอยู่ที่ตำแหน่งไหน อันนี้ตอบยาก เพราะขึ้นกับการใช้งาน
ถ้าเน้นทน เสี่ยงน้อย ก็ใส่ทั้งคู่
ถ้าเน้นประนีประนอมยอมรับได้ ก็ใส่ค่า R2 C2 ปกติ
แต่ถ้าอยากได้ปลายแหลมดีเกินสเปค เผื่อพวกซุปเปอร์ทวีตเตอร์ ก็ต้องแบบ R1 C1 ซึ่งต้องมั่นใจว่าภาคแอมป์มีการจัดการเสถียรภาพก่อนหน้ามาดีแล้ว เพราะถ้าไม่อย่างนั้น สิ่งที่ทำไปจะไม่ได้ช่วยป้องกันทวีตเตอร์ไหม้เลย
-
ผมหมายถึงเราจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการทดสอบเช่น สโคป หรือ เครื่องกำเนิดสัญญาณด้วยใช่ไหมครับ
-
ผมหมายถึงเราจำเป็นต้องมีเครื่องมือในการทดสอบเช่น สโคป หรือ เครื่องกำเนิดสัญญาณด้วยใช่ไหมครับ
[roll] คือมีก็ดีครับ เพราะอย่างน้อยก็วัดออกมาให้เราเห็นได้ จะใช้เป็นจุดอ้างอิงสำหรับปรับแต่งก็จะตรงจุดดีครับ
เพียงแค่ว่า บางครั้งถึงเราจะรู้ แต่จะหาวิธีแก้ยังไงนี่สิปัญหาคลาสสิกครับ เพราะบ่อยครั้งที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว [unde_cided]
แต่ถ้าระดับที่ทำขายจริงจัง จำเป็นต้องมีพวก Audio Precision: System One เป็นตัวอ้างอิง จะแจงสเปคอ้างอิงมาตรฐานผลิตภัณฑ์ได้ทั่วโลกครับ
-
ไม่ได้ทำขายหรอกครับ แค่ทำฟังเองยังดองเป็นเดือนๆ เลยครับ ผมถามเพื่อประดับความรู้เฉยๆ ครับว่านักออกแบบเครื่องเสียงเก่งๆ นั้นเค้าใช้เครื่องมืออะไรบ้างนอกจากหูตัวเองน่ะครับ
ตัวผมนั้นเอามาตรฐานไม่ได้เพราะแต่ก่อนอยู่กับเสียงดังๆของเครืองดนตรีมานาน (ให้เช่าเครื่องดนตรีเล็กๆ) จนตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มฟังเสียงแหลมแบบปลายๆ ไม่ค่อยดีแล้ว
ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาตอบนะครับ
-
ไม่ได้ทำขายหรอกครับ แค่ทำฟังเองยังดองเป็นเดือนๆ เลยครับ ผมถามเพื่อประดับความรู้เฉยๆ ครับว่านักออกแบบเครื่องเสียงเก่งๆ นั้นเค้าใช้เครื่องมืออะไรบ้างนอกจากหูตัวเองน่ะครับ
ตัวผมนั้นเอามาตรฐานไม่ได้เพราะแต่ก่อนอยู่กับเสียงดังๆของเครืองดนตรีมานาน (ให้เช่าเครื่องดนตรีเล็กๆ) จนตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มฟังเสียงแหลมแบบปลายๆ ไม่ค่อยดีแล้ว
ขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาตอบนะครับ
ถ้าการทำเป็นการทำแอมป์หรือปรีเป็นหลัก แล้วอยากได้สเปคเบื้องต้นด้วย ต้องมี Function Generator กับ Oscilloscope ครับ
เวลาทำการวัดให้วัดทีละข้างนะครับ ซ้ายทีนึง ขวาทีนึง (เว้นแต่จะมีสโคป 3 channel ขึ้นไป และตัว split สัญญาณจาก Function Gen. ไปเข้าทั้งสองข้างพร้อมกัน อย่างนี้จะวัดเทียบซ้ายขวาได้ด้วย)
วัดปรี-โทน จะง่ายหน่อย แต่ถ้าเป็นแอมป์ต้องหาดัมมีโหลด เป็น R 8 โอห์มตัวจัมโบ้มากๆ หรือลำโพง 8 โอห์มแบบหน่วยกล้าตายมาร่วมด้วย (อย่าถึงกับเอาลำโพงดีๆ มาลองด้วยเลยครับ มันเสียว.. [tremor-raccoon])
หลักๆ ก็ทำการป้อนสัญญาณ sine เข้าไป เริ่มจากความถี่กลาง 1kHz 100mV แล้วใช้สโคป จับสัญญาณ 2 สายทั้ง input และเอาต์พุต แล้วดูผลเทียบกับ ที่จะได้ออกมาคือ
- อัตราขยายสัญญาณเบื้องต้น
- ทดลองปรับสัญญาณที่โวลุ่ม ดูช่วงการทำงานราบรื่นหรือมีสะดุดหรือเห็นสัญญาณเพี้ยนไปอย่างไรบ้าง
จากนั้น ทำตารางทดสอบความถี่แบบ sweep ครับ เริ่มตั้งแต่ 1Hz -> 2Hz -> 5Hz -> 10Hz -> 20Hz -> 50Hz -> 100Hz -> 200Hz -> 500Hz -> 1kHz -> 2kHz -> 5kHz -> 10kHz -> 20kHz -> 50kHz -> 100kHz -> 200kHz โดยให้ความแรงสัญญาณป้อนเข้าไปแรงเท่าเดิมตลอดช่วง จากนั้นดูผลที่ได้ อ่านความสูงอขงสัญญาณที่ขยายได้ แล้วค่อยๆ พล็อตจุดบนกราฟ สเกล Log ที่ X เป็นความถี่ ส่วนแกน Y เป็น Linear ตามมาตรฐานก็คำนวนค่าเกน เป็น dB ครับ วัดทีละจุดตามลำดับ เสน็จแล้วลากเส้นเชื่อมถึงกันก็จะได้กราฟอัตราขยายของเครื่องที่ทดสอบแล้ว clapping-1-2
เสร็จแล้วพอเราดูกราฟเบื้องต้น อย่างน้อยก็พอจะมองออกได้ว่าเครื่องที่ทดสอบไปนั้น น่าจะเด่นหรือด้อยตรงช่วงไหนบ้าง จากนั้น ก็ต่อเครื่องฟังเพลงจริงจัง เอาเครื่องมือออกให้หมด แล้วทดสอบกับอัลบั้มที่คุ้ยเคยและทดสอบหลายๆแนว ดูว่าน้ำหนักเสียงในแต่ละโทนเสียงนั้นมาทางเดียวกับกราฟที่เห็นหรือไม่
ส่วนเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องเฟสเหลื่อมก็เช็ตเครื่องมือคล้ายกัน แต่การวัดจะวุ่นกว่า ตอนดูเส้นบนสโคปเปรียบเทียบเฟสกันน่ะครับ
แต่ถ้าอยากดูเรื่องความเพี้ยนอย่างง่าย ให้ทดสอบโดยปรับโหมดรูปคลื่นของ Function Gen. จากคลื่น sine เป็น triangle ดูเพื่อพอรู้ว่าการขยายนั้นยังเป็นเชิงเส้นตรงหรือมีแอบโค้งแอบเบี้ยวนิดๆ
แต่ถ้าจะวัดว่ากลับเฟสหรือไม่ ให้ตั้งโหมดสัญญาณไปรูป sawtooth ฟันเลื่อยครับ เพราะจะได้เห็นว่าช่วงสโลปลาดไปในทางเดียวกันหรือไม่ ถ้าเอียงไปคนละทาง แสดงว่ากลับเฟส แต่ถ้าเอียงทางเดียวกันแสดงว่าเฟสตรงครับ อาจจะเหลื่อมเวลาไปบ้างเป็นเรื่องปกติครับ
แต่ถ้าวัดจริงจัง ต้องมีพวก Spectrum Analyzer ด้วย จะได้อย่างที่ว่ามาครบเลยครับ (สโคปดิจิตอลจีนสมัยใหม่หลายๆตัว มีฟังก์ชั่น FFT ในตัวอยู่แล้ว แค่หา Function Gen. ที่ sweep อัตโนมัติก็ได้กราฟตอบสนองสวยๆแล้วครับ)
แต่ถ้าเอาสเปคละเอียดทางเครื่องเสียง อย่างพวก THD IMD Gain/Phase ละเอียดๆ แบบที่หลังโบร์ชัวเครื่องระบุเอาไว้ ก็ต้อง Audio Precision : System One ครับ บริษัทที่ทำเครื่องเสียงขายดังๆ เกือบทุกเจ้าต้องมีเครื่องนี้ไว้ใช้ทำรายงานครับ ส่วนราคาถ้าจำไม่ผิดน่าจะ อยู่ช่วงหกหลักขึ้นไปน่ะครับ [roll-eyes]
-
อาจารย์อธิบายละเอียดจนไม่รู้จะถามอะไรแล้วครับ
ไม่รบกวนอาจารย์แล้วครับ อาจารย์จะได้ไปทำหวานใจต่อ ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
-
ถ้าเราลดทอนมันเยอะเกินไปมากๆ ก็มีผลครับ เฟสของปลายแหลมจะบิดตัวครับ
มาแล้วครับ ผลจากการ Simulation เปรียบเทียบ Zobel 3 กรณี ที่โหลดลำโพง 8 โอห์ม
([url]http://www.opcube.com/diy/ZobelSimulation01.gif[/url])
สีฟ้าคือ R 10 Ohm + C 0.1uF
สีบานเย็นคือ R 4.7 Ohm + C 0.047uF
สีเขียวคือต่อทั้งสองชุดขนานกัน
LM1875 เท่าที่ดูวงจรนิยมใส่ค่า R 1Ohm C 0.1uF [confused-raccoon]
-
ขอขอบคุณข้อมูลที่เป็นวิชาการครับ นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ต่อไปการตั้งคำถามของผมคงต้องทบทวนแหล่งข้อมูลทางวิชาการทำนองนี้ก่อน ไม่งั้นมีถามเปิ่น ๆ เชย ๆ หรือตั้งคำถามไม่ถูกออกไปแน่เลย [checks-raccoon]
[res]
-
ขอขอบคุณข้อมูลที่เป็นวิชาการครับ นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ต่อไปการตั้งคำถามของผมคงต้องทบทวนแหล่งข้อมูลทางวิชาการทำนองนี้ก่อน ไม่งั้นมีถามเปิ่น ๆ เชย ๆ หรือตั้งคำถามไม่ถูกออกไปแน่เลย [checks-raccoon]
[res]
อย่าถึงกระนั้นเลยครับ ซีเรียสอย่างเดียวไม่สนุก ต้องมีหลายๆ อารมณ์บ้าง ทำแล้วสนุกถึงจะน่าทำ และเล่นได้นานด้วย clapping-1-2
-
ขอขอบคุณข้อมูลที่เป็นวิชาการครับ นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ต่อไปการตั้งคำถามของผมคงต้องทบทวนแหล่งข้อมูลทางวิชาการทำนองนี้ก่อน ไม่งั้นมีถามเปิ่น ๆ เชย ๆ หรือตั้งคำถามไม่ถูกออกไปแน่เลย [checks-raccoon]
[res]
ไม่มีใครเก่งโดยไม่ได้เริ่มต้นหรอกครับพี่ ทุกคนก็ต้องผ่านประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน
-
ขอขอบคุณข้อมูลที่เป็นวิชาการครับ นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ต่อไปการตั้งคำถามของผมคงต้องทบทวนแหล่งข้อมูลทางวิชาการทำนองนี้ก่อน ไม่งั้นมีถามเปิ่น ๆ เชย ๆ หรือตั้งคำถามไม่ถูกออกไปแน่เลย [checks-raccoon]
[res]
ไม่มีใครเก่งโดยไม่ได้เริ่มต้นหรอกครับพี่ ทุกคนก็ต้องผ่านประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน
[heart_shell]
-
ไปอ่านเจอในกระทู้นี้http://www.diyaudiovillage.net/index.php?topic=8095.420
เพราะอะไรสัญญาณที่ขยายแบบนี้ถึงกลับเฟทครับ [confused-raccoon]
(http://upic.me/i/0j/1875inv.jpg) (http://upic.me/show/32469860)(http://)
-
ไปอ่านเจอในกระทู้นี้http://www.diyaudiovillage.net/index.php?topic=8095.420
เพราะอะไรสัญญาณที่ขยายแบบนี้ถึงกลับเฟทครับ [confused-raccoon]
([url]http://upic.me/i/0j/1875inv.jpg[/url]) ([url]http://upic.me/show/32469860[/url])(http://)
อ่า.. น้า YoungOne แวะดูข้อมูลที่ท้ายคำตอบแรก หน้าแรกได้เลยครับ ตรงเป๊ะ clapping-1-2
-
ตรงเป๊ะเลย 3-2-1-raccoon
-
ไปอ่านเจอในกระทู้นี้http://www.diyaudiovillage.net/index.php?topic=8095.420
เพราะอะไรสัญญาณที่ขยายแบบนี้ถึงกลับเฟทครับ [confused-raccoon]
([url]http://upic.me/i/0j/1875inv.jpg[/url]) ([url]http://upic.me/show/32469860[/url])(http://)
อ่า.. น้า YoungOne แวะดูข้อมูลที่ท้ายคำตอบแรก หน้าแรกได้เลยครับ ตรงเป๊ะ clapping-1-2
ใส่แว่นสายตาอ่านแล้วครับ ตรงเป๊ะเลยครับ [phok]
ขอบคุณมากครับ [res]
-
วันนี้มาอีกหน่อยนึง กรณีศึกษาปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับบางท่าน ตอนทำปรี seeeeeeddd...d
เวลาต่อสัญญาณจาก DAC หรืออุปกรณ์ที่แรงๆ มา แล้วเสียงแตก... [confused-raccoon]
ถ้าจำลองเหตุการณ์คร่าวๆ วงจรดังรูปนะครับ ส่วนใหญ่วงจรเอาต์พุตของเครื่องเหล่านี้มักจะมี C output อยู่ และน่าจะออกแบบเพื่อให้ต่อสายได้ไกลนิดนึง และเผื่อโหลดด้วย
ทำให้เปิดช่วงแบนด์วิทธ์ไว้กว้าง จนปริ่มๆ จะเกิด Overshoot แล้ว พอผ่านเข้ามาที่ปรีของเรา ซึ่งออปแอมป์เทพ และ R IN2 มีค่าโอห์มสูงมากๆ เพราะเรารู้ว่าถ้าค่าน้อยมันจะกดแบนด์วิทธ์ พอดีเราอยากได้ปลายแหลมแหล่มๆ เลยจัดเต็ม [roll]
แต่เต็มมากไปหน่อย กอร์ปกับต้นทางก็ปล่อยเต็มเหมือนกัน เลยล้นครับ.. (ระหว่างทางที่อาจจะมีสิ่งแปลกปลอมมาแวะเวียนได้อีก) ทำให้สัญญาณเกิด Critical dampling หรือแย่กว่าก็ออสซิลเลตย่อมๆไปเลย สัญญาณเน่า เสียงก็เลยเน่าครับ แถมเน่าดังซะด้วย
([url]http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental18.gif[/url])
ดังนั้น จากเรื่อง R-C ก่อนหน้านี้ เลยเป็นพระเอกขี่ม้าขาวทันที หลังจากทดลองใส่ R 47k คร่อมอินพุตตรงแจค RCA ของปรีขาเข้าแล้ว หายสนิท...
ก็เพราะมันไปกดแบนด์วิทธ์ของเอาต์พุตแหล่งกำเนิดในช่วงที่ไม่ต้องการนั่นเอง ทำให้วงจรโดยรวมทั้งสองส่วนจะมีเสถียรภาพมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
([url]http://www.opcube.com/diy/Opamp_fundamental19.gif[/url])
เพราะบางครั้ง พวก DAC หรือสัญญาณจากเครื่องเล่น มันออกแบบเผื่อเอาไว้สำหรับใช้กับโหลดค่าต่ำๆ อย่างหูฟังได้เลย ดังนั้นเมื่อเราเอาปรีมาต่อซึ่งอิมพิแดนซ์สูงกว่ามากๆ ที่เค้าเผื่อเอาไว้มันเลยมากเกินความจำเป็นน่ะครับ
ก็ต้องมาโหลดช่วยมันอีกที ที่ปรีของเราครับ clapping-1-2
น้าแว่นครับ ที่บอกว่าให้นำอาร์ 47 เค ต่อคร่อมอินพุท ตรงแจคrca ของปรีขาเข้า เพื่อกดแบนวิธ
แต่ถ้าเรา นำR 47k มาต่อค่อม ตรงแจคrca แต่เป็น ขาออก ของdac มันจะมีค่าเท่ากันไหมครับ กับต่อขาเข้า ของปรี
แล้วR 47k ที่ต่อขาออกของdac เขาเรียกว่า R zobel ใช่หรือป่าวครับ
-
น้าแว่นครับ ที่บอกว่าให้นำอาร์ 47 เค ต่อคร่อมอินพุท ตรงแจคrca ของปรีขาเข้า เพื่อกดแบนวิธ
แต่ถ้าเรา นำR 47k มาต่อค่อม ตรงแจคrca แต่เป็น ขาออก ของdac มันจะมีค่าเท่ากันไหมครับ กับต่อขาเข้า ของปรี
แล้วR 47k ที่ต่อขาออกของdac เขาเรียกว่า R zobel ใช่หรือป่าวครับ
กรณีเอา R ไว้ตรงเอาต์พุต DAC ต่อสายสัญญาณ แล้วเข้าปรี
กับ เอาต์พุต DAC ต่อสายสัญญาณแล้วเข้าปรี โดยมี R อยู่ที่แจ๊ค RCA อินพุตแอมป์
ถ้าผมบอกว่าไม่เหมือนกัน น้าจะเชื่อผมไหม... [gr_in]
ถ้าไม่เชื่อ ให้ย้อนลำดับการต่อ แล้วมองสายสัญญาณเป็นเน็ตเวิร์ค R+L+C และมีสัญญาณรบกวนแวะเวียนมาระหว่างทาง
เห็นว่ามันแตกต่างรึยังครับ [roll]
ส่วน Zobel ใช้เรียกกรณีที่ต่อเป็นเน็ตเวิร์ค RLC เพื่อประโยชน์ในการจัดการอิมพิแดนซ์ตามช่วงความถี่ด้วยครับ แต่ชื่อเป็นแค่ชื่อน่ะครับ ถ้ามองพฤติกรรม R L C และเข้าใจมัน ก็จะมองผลที่เกิดได้ง่ายขึ้นครับ
-
ขอบคุณครับ น้าแว่น [res] [res]
พอจะเข้าใจแล้วครับ มันต่างกัน ตรงมีสายสัญญาณมาคั่นนี่เอง เพราะสายสัญญาณ มีค่า r l c แฝง เราก็เลยต่อสัญญาณปลายทาง เอาสัญญาณรบกวนลงกราวน์ ที่ปลายทาง ถูกต้องไหมครับเนี้ย
-
ขอบคุณครับ น้าแว่น [res] [res]
พอจะเข้าใจแล้วครับ มันต่างกัน ตรงมีสายสัญญาณมาคั่นนี่เอง เพราะสายสัญญาณ มีค่า r l c แฝง เราก็เลยต่อสัญญาณปลายทาง เอาสัญญาณรบกวนลงกราวน์ ที่ปลายทาง ถูกต้องไหมครับเนี้ย
คือสัญญาณรบกวนเป็นโมเดลของแถมให้เห็นผลต่างครับ
ประเด็นหลักที่ต้องการสื่อคือ R โหลดเสริมอยู่ต่างที่ ผลสุดท้ายที่ได้ก็ย่อมต่างกัน เพราะอยู่ก่อนเน็ตเวิร์ค RLC
แบบต่อตรงอินพุตปรีคือเอา R โหลดไว้หลัง RLC ก็จะได้ผลที่ต่างไปเล็กน้อย แต่ก็มีความต่าง
ผมบอกไม่ได้ ถ้ารวมทั้งระบบแล้วแบบไหนเสียงดีกว่า
แต่ถ้าเปิดเครื่องเดี่ยวๆ ไม่ได้ต่อสายแล้วล่ะก็ การลอยเอาต์พุตแล้วอาจเกิดปัญหาออสซิลเลตของเครื่องได้ แบบนี้ก็ควรต่อไว้ "บ้าง" เพื่อป้องกัน
ส่วนอินพุตปรี ถ้าเน้นทางสายกลาง ต่อเครื่องอื่นๆได้ครอบจักรวาล ไม่เกี่ยงยี่ห้อ ไม่มีปัญหา ก็คงต้องต่อ R ทั้งคู่เลย แบบที่เครื่องคอมเมเชี่ยลปกติทำกัน
นั่นล่ะครับ การทำให้เอนกประสงค์ไร้ปัญหาในทุกกรณี ก็ต้องทำเผื่อไว้ และคงต้องยอมรับว่ามันอาจจะ"ลดทอน"ความพิสุทธิ์ลงไปบ้าง ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
แต่ถ้าเป็นการจัดสรรแบบเฉพาะให้ดีที่สุด คำว่าที่สุดคือก็ต้องรีดประสิทธิภาพ รีดเลือดจากปูให้ได้มากที่สุด แต่ถ้าไม่เข้าใจดีพอ แล้วหลับหูหลับตาทำต่อ แม้อาจต้องแลกกับการเผาเครื่องก็ตาม ก็เหมือนกับบี้ปูจนแหลก จนไม่เหลืออะไรให้กิน แบบนี้ก็ลำบาก
จะว่าไปเหมือนพวกขับมอไซค์แว๊นซ์แข่งกัน ไปคว้านกระบอกสูบเครื่องตัวน้อย โดยหวังจะเอาแรงม้าชั่วขณะให้ได้มากที่สุด
แต่พอหลังจากแข่งเสร็จ ชัยชนะที่เกิดขึ้น สก๊อยนั่งหลังสะใจ ก็ต้องแลกกับเครื่องยนต์พัง ยกเครื่องใหม่หมด สำหรับพวกเค้าคงคุ้มกับการแลกตอบสนองกิเลส โดยไม่สนใจว่าคนภายนอกมองว่าบ้า และสิ้นเปลืองทรัพยากรโลก
แต่เรื่องแบบนี้ นานาจิตตัง เพราะความบ้าแบบนี้มีอยู่จริง เพียงแต่เราจะเลือกทำมันหรือเปล่า
ถ้าถามผม ผมไม่บอกว่าเป็นเรื่องผิดหรือถูก สิ่งที่ทำเพียงแค่ส่ายหัวแล้วบอกอย่างเดียวว่า "เสียดาย" ครับ [pig90118]
-
น้าแว่นครับ ผมมีไอซีบัฟเฟอร์ เบอร์ lt1010ct เป็นรุ่น 5 ขาอ่ะครับ
http://pdf1.alldatasheet.com/datasheet-pdf/view/191641/LINER/LT1010CT.html
ขา 1 เป็น input
ขา 2 เป็นไฟ+
ขา3 เป็นไฟ -
ขา 4 เป็นไบแอส
ขา 5 เป็น output
ผมจะทำเป็นบัฟเฟอร์ โดยใช้ไฟ +18 0 -18 ผมใช้R 50 โอมห์ คล่อม ขา 2 และขา 4 ไบแอสแบบนี้ถูกต้องไหมครับ
ขา 1 ผม เอาสัญญาณ มาจากแดคเลย เข้าตรงๆเลย แล้วขา 5 ผมเอาสัญญาณ ออกตรงๆเลย แต่ทำไมมันไม่ดังอ่ะครับ (วาดรูปไม่เป็นซะด้วยซิ) ไม่รู้น้าแว่นอ่านแล้วจะนึกภาพออกไหมครับ
มันผิดตรงไหนอ่ะครับ ขา 5 ที่เป็นขาสัญญาณออก ผมต้องใส่ค่าอาร์ เพื่อป้อนกลับไปขา 1 ไหมอ่ะครับ หรือต่ออาร์ลงกราวน์ไหมอ่ะครับ
-
น้าแว่นครับ ผมมีไอซีบัฟเฟอร์ เบอร์ lt1010ct เป็นรุ่น 5 ขาอ่ะครับ
[url]http://pdf1.alldatasheet.com/datasheet-pdf/view/191641/LINER/LT1010CT.html[/url]
ขา 1 เป็น input
ขา 2 เป็นไฟ+
ขา3 เป็นไฟ -
ขา 4 เป็นไบแอส
ขา 5 เป็น output
ผมจะทำเป็นบัฟเฟอร์ โดยใช้ไฟ +18 0 -18 ผมใช้R 50 โอมห์ คล่อม ขา 2 และขา 4 ไบแอสแบบนี้ถูกต้องไหมครับ
ขา 1 ผม เอาสัญญาณ มาจากแดคเลย เข้าตรงๆเลย แล้วขา 5 ผมเอาสัญญาณ ออกตรงๆเลย แต่ทำไมมันไม่ดังอ่ะครับ (วาดรูปไม่เป็นซะด้วยซิ) ไม่รู้น้าแว่นอ่านแล้วจะนึกภาพออกไหมครับ
มันผิดตรงไหนอ่ะครับ ขา 5 ที่เป็นขาสัญญาณออก ผมต้องใส่ค่าอาร์ เพื่อป้อนกลับไปขา 1 ไหมอ่ะครับ หรือต่ออาร์ลงกราวน์ไหมอ่ะครับ
เพิ่งแวะมาดูครับ ตอบช้าไปหน่อย
เรื่องนี้คงมีสองสามเรื่อง ตัวนี้เป็นบัฟเฟอร์ เข้า 1 ออก 1 ไม่ขยายแรงดันเพิ่ม
อันดับแรกคือเอาต์พุต DAC ออกมาเป็นแรงดันหรือไม่ และมีออฟเซ็ตปนมาด้วยหรือเปล่า รวมถึงขนาดสัญญาณถ้ามันเล็กมากๆ ก็จะไม่ดัง ทดลองโดยการบิดโวลุ่มสุดก็ควรจะได้ยินอะไรบ้างครับ
อันดับถัดไป ไอซีตัวนี้น้าได้แต่ใดมาครับ เพราะ LT หาในบ้านเรายาก ถ้าสั่งจากจากจีนมีโอกาสโดนฯเยอะ
สุดท้ายการต่อไอซีบัฟเฟอร์ต่อทำงานแบบไหน ฮาร์ดไวร์หรือลง PCB เอนกประสงค์และควต้องมี C คัปปลิ้งภาคจ่ายไฟด้วยครับ
อื่นๆ ถ้ามีรูปประกอบถึงจะพอหาสาเหตุต่อได้ครับ
-
น้าแว่นครับ ผมมีไอซีบัฟเฟอร์ เบอร์ lt1010ct เป็นรุ่น 5 ขาอ่ะครับ
[url]http://pdf1.alldatasheet.com/datasheet-pdf/view/191641/LINER/LT1010CT.html[/url]
ขา 1 เป็น input
ขา 2 เป็นไฟ+
ขา3 เป็นไฟ -
ขา 4 เป็นไบแอส
ขา 5 เป็น output
ผมจะทำเป็นบัฟเฟอร์ โดยใช้ไฟ +18 0 -18 ผมใช้R 50 โอมห์ คล่อม ขา 2 และขา 4 ไบแอสแบบนี้ถูกต้องไหมครับ
ขา 1 ผม เอาสัญญาณ มาจากแดคเลย เข้าตรงๆเลย แล้วขา 5 ผมเอาสัญญาณ ออกตรงๆเลย แต่ทำไมมันไม่ดังอ่ะครับ (วาดรูปไม่เป็นซะด้วยซิ) ไม่รู้น้าแว่นอ่านแล้วจะนึกภาพออกไหมครับ
มันผิดตรงไหนอ่ะครับ ขา 5 ที่เป็นขาสัญญาณออก ผมต้องใส่ค่าอาร์ เพื่อป้อนกลับไปขา 1 ไหมอ่ะครับ หรือต่ออาร์ลงกราวน์ไหมอ่ะครับ
ลอง เพิ่ม ตัวต้านทาน อีกสัก 2 ตัวได้มั๊ยครับ
ตัวแรก ค่า 100 โอห์ม ต่อ "คั่น ระหว่าง input กับ ขา 1 "
ตัวที่สอง ค่า 100 โอห์ม ต่อ "แทรก ระหว่าง ขา 5 กับ out put"
แล้วลองดูว่า มันทำงานได้มั๊ย
อย่าลืมต่อ c fillter 10 uf ขึ้นไปที่ขา ไฟเลี้ยงทั้งไฟบวก และไฟลบ (ควรต่อให้ใกล้ ic มากที่สุด)ด้วยนะครับ
-
ตอบเท่าที่รู้น่ะครับ
เอาต์พุตdac ออกมาเป็นแรงดันครับ ออฟเซ้ตปนมา อันนี้ไม่รู้เลยครับ เขาวัดกันอย่างไรครับ [roll]
ทดลองบิดโวลุ่ม ก็ได้ยินประมาณเท่าเสียงมด ตด อ่ะครับ ค่อยมาก
ไอซีตัวนี้ได้มา จาก element 14 ครับ ของเดิมมันขาหัก ผมเลยสั่งตัวนี้มาแทน ก็ใช้แทนได้อยู่น่ะครับ ผมสั่งมาเผื่อไว้ เห็นท่าทางมันจะเทพ เลยว่าอยากจะเอามาทำบัพเฟอร์แยกต่างหาก เหมือนb1
ส่วนวิธึการต่อ ผมมั่นใจว่าผิดชัวร์ คือ ผมก็ต่อตามขา ตรงๆเลย ไม่มีซี ไม่มีมีอาร์อะไร ยกเว้น อาร์ไบแอสที่ขา 2 กับ 4 ใช้อาร์ 50 โอมห์ในการไบแอส ไฟ 18 โวลลท์ก็เข้าไปตรงๆเลย (แต่ผ่านภาคแปลงไฟเป็นdc แล้วน่ะครับ) เด๊่ยวว่างผมจะถ่ายรูปให้ดูน่ะครับ
ปล lt ตัวนี้ ผมสั่งมาเผื่อไว้เป็นอะไหล่ 2 ชุด ( 4 ตัว) เพราะสั่งซื้อแต่ละครั้งมันลำบาก กะเอาไว้เวลามันเสียจะได้มีเปลี่ยน แต่ดูแวว แล้ว มันไม่เสียสักกะที จะทิ้งเอาไว้ก็กลัวมันจะเน่าจะบูด เลยเอามาลองเล่นดูอ่ะครับว่ามันทำอะไรได้บ้าง ถ้าอย่างงั้น พรุ่งนี้ผมส่งให้น้าแว่น ไปชุดหนึงน่ะครับ เพราะอยู่กะผม มันก็ไร้ค่า น้าแว่นจะเอาไปทำอะไรก็ตามแต่สะดวกเลยครับ เห็นน้องข้าวฟ่างเอาjp74ไปทำตุ้มหู ผมก็กะว่าเอาltมา ห้อยคอ เหมียนกัล
-
น้าแว่นครับ ผมมีไอซีบัฟเฟอร์ เบอร์ lt1010ct เป็นรุ่น 5 ขาอ่ะครับ
[url]http://pdf1.alldatasheet.com/datasheet-pdf/view/191641/LINER/LT1010CT.html[/url]
ขา 1 เป็น input
ขา 2 เป็นไฟ+
ขา3 เป็นไฟ -
ขา 4 เป็นไบแอส
ขา 5 เป็น output
ผมจะทำเป็นบัฟเฟอร์ โดยใช้ไฟ +18 0 -18 ผมใช้R 50 โอมห์ คล่อม ขา 2 และขา 4 ไบแอสแบบนี้ถูกต้องไหมครับ
ขา 1 ผม เอาสัญญาณ มาจากแดคเลย เข้าตรงๆเลย แล้วขา 5 ผมเอาสัญญาณ ออกตรงๆเลย แต่ทำไมมันไม่ดังอ่ะครับ (วาดรูปไม่เป็นซะด้วยซิ) ไม่รู้น้าแว่นอ่านแล้วจะนึกภาพออกไหมครับ
มันผิดตรงไหนอ่ะครับ ขา 5 ที่เป็นขาสัญญาณออก ผมต้องใส่ค่าอาร์ เพื่อป้อนกลับไปขา 1 ไหมอ่ะครับ หรือต่ออาร์ลงกราวน์ไหมอ่ะครับ
ลอง เพิ่ม ตัวต้านทาน อีกสัก 2 ตัวได้มั๊ยครับ
ตัวแรก ค่า 100 โอห์ม ต่อ "คั่น ระหว่าง input กับ ขา 1 "
ตัวที่สอง ค่า 100 โอห์ม ต่อ "แทรก ระหว่าง ขา 5 กับ out put"
แล้วลองดูว่า มันทำงานได้มั๊ย
อย่าลืมต่อ c fillter 10 uf ขึ้นไปที่ขา ไฟเลี้ยงทั้งไฟบวก และไฟลบ (ควรต่อให้ใกล้ ic มากที่สุด)ด้วยนะครับ
ขอบคุณมากครับ จังหวะกดส่ง พอดีคุณ แจมคุง ส่งมาก่อน พิมพ์ไปแล้วเลยต้องส่ง มาถูกจังหวะพอดีเลยครับ ผมก็ว่ามันทะแม่งๆน่ะที่ผมต่อ
-
ตอบเท่าที่รู้น่ะครับ
เอาต์พุตdac ออกมาเป็นแรงดันครับ ออฟเซ้ตปนมา อันนี้ไม่รู้เลยครับ เขาวัดกันอย่างไรครับ [roll]
ทดลองบิดโวลุ่ม ก็ได้ยินประมาณเท่าเสียงมด ตด อ่ะครับ ค่อยมาก
ไอซีตัวนี้ได้มา จาก element 14 ครับ ของเดิมมันขาหัก ผมเลยสั่งตัวนี้มาแทน ก็ใช้แทนได้อยู่น่ะครับ ผมสั่งมาเผื่อไว้ เห็นท่าทางมันจะเทพ เลยว่าอยากจะเอามาทำบัพเฟอร์แยกต่างหาก เหมือนb1
ส่วนวิธึการต่อ ผมมั่นใจว่าผิดชัวร์ คือ ผมก็ต่อตามขา ตรงๆเลย ไม่มีซี ไม่มีมีอาร์อะไร ยกเว้น อาร์ไบแอสที่ขา 2 กับ 4 ใช้อาร์ 50 โอมห์ในการไบแอส ไฟ 18 โวลลท์ก็เข้าไปตรงๆเลย (แต่ผ่านภาคแปลงไฟเป็นdc แล้วน่ะครับ) เด๊่ยวว่างผมจะถ่ายรูปให้ดูน่ะครับ
ปล lt ตัวนี้ ผมสั่งมาเผื่อไว้เป็นอะไหล่ 2 ชุด ( 4 ตัว) เพราะสั่งซื้อแต่ละครั้งมันลำบาก กะเอาไว้เวลามันเสียจะได้มีเปลี่ยน แต่ดูแวว แล้ว มันไม่เสียสักกะที จะทิ้งเอาไว้ก็กลัวมันจะเน่าจะบูด เลยเอามาลองเล่นดูอ่ะครับว่ามันทำอะไรได้บ้าง ถ้าอย่างงั้น พรุ่งนี้ผมส่งให้น้าแว่น ไปชุดหนึงน่ะครับ เพราะอยู่กะผม มันก็ไร้ค่า น้าแว่นจะเอาไปทำอะไรก็ตามแต่สะดวกเลยครับ เห็นน้องข้าวฟ่างเอาjp74ไปทำตุ้มหู ผมก็กะว่าเอาltมา ห้อยคอ เหมียนกัล
output เป็นแรงดัน หรือมี offset ปนมา ต้องใช้ C คั่นตรง input ก่อนครับ ไม่งั้น buffer จะกลายเป็น วงจรตามแรงดัน ไป
ที่ให้ลองเพิ่ม R ผมอ่านคร่าวๆจาก datasheet รู้สึกว่า เจ้า lt1010 เนี่ยะ ถึงตัวมันจะเป็น buffer แต่การที่จะให้มันทำงานเต็มประสิทธิภาพ มันมีตัวแปรเรื่อง R load อยู่
http://cds.linear.com/docs/en/datasheet/1010fe.pdf
มีสูตรการคำนวนเมื่อต่อกับโหลด ที่หน้า 7 ของ datasheet อ่ะครับ
-
ตอบเท่าที่รู้น่ะครับ
เอาต์พุตdac ออกมาเป็นแรงดันครับ ออฟเซ้ตปนมา อันนี้ไม่รู้เลยครับ เขาวัดกันอย่างไรครับ [roll]
ทดลองบิดโวลุ่ม ก็ได้ยินประมาณเท่าเสียงมด ตด อ่ะครับ ค่อยมาก
ไอซีตัวนี้ได้มา จาก element 14 ครับ ของเดิมมันขาหัก ผมเลยสั่งตัวนี้มาแทน ก็ใช้แทนได้อยู่น่ะครับ ผมสั่งมาเผื่อไว้ เห็นท่าทางมันจะเทพ เลยว่าอยากจะเอามาทำบัพเฟอร์แยกต่างหาก เหมือนb1
ส่วนวิธึการต่อ ผมมั่นใจว่าผิดชัวร์ คือ ผมก็ต่อตามขา ตรงๆเลย ไม่มีซี ไม่มีมีอาร์อะไร ยกเว้น อาร์ไบแอสที่ขา 2 กับ 4 ใช้อาร์ 50 โอมห์ในการไบแอส ไฟ 18 โวลลท์ก็เข้าไปตรงๆเลย (แต่ผ่านภาคแปลงไฟเป็นdc แล้วน่ะครับ) เด๊่ยวว่างผมจะถ่ายรูปให้ดูน่ะครับ
ปล lt ตัวนี้ ผมสั่งมาเผื่อไว้เป็นอะไหล่ 2 ชุด ( 4 ตัว) เพราะสั่งซื้อแต่ละครั้งมันลำบาก กะเอาไว้เวลามันเสียจะได้มีเปลี่ยน แต่ดูแวว แล้ว มันไม่เสียสักกะที จะทิ้งเอาไว้ก็กลัวมันจะเน่าจะบูด เลยเอามาลองเล่นดูอ่ะครับว่ามันทำอะไรได้บ้าง ถ้าอย่างงั้น พรุ่งนี้ผมส่งให้น้าแว่น ไปชุดหนึงน่ะครับ เพราะอยู่กะผม มันก็ไร้ค่า น้าแว่นจะเอาไปทำอะไรก็ตามแต่สะดวกเลยครับ เห็นน้องข้าวฟ่างเอาjp74ไปทำตุ้มหู ผมก็กะว่าเอาltมา ห้อยคอ เหมียนกัล
output เป็นแรงดัน หรือมี offset ปนมา ต้องใช้ C คั่นตรง input ก่อนครับ ไม่งั้น buffer จะกลายเป็น วงจรตามแรงดัน ไปครับ
[res] [res]
-
น้าแว่นครับ ผมมีไอซีบัฟเฟอร์ เบอร์ lt1010ct เป็นรุ่น 5 ขาอ่ะครับ
[url]http://pdf1.alldatasheet.com/datasheet-pdf/view/191641/LINER/LT1010CT.html[/url]
ขา 1 เป็น input
ขา 2 เป็นไฟ+
ขา3 เป็นไฟ -
ขา 4 เป็นไบแอส
ขา 5 เป็น output
ผมจะทำเป็นบัฟเฟอร์ โดยใช้ไฟ +18 0 -18 ผมใช้R 50 โอมห์ คล่อม ขา 2 และขา 4 ไบแอสแบบนี้ถูกต้องไหมครับ
ขา 1 ผม เอาสัญญาณ มาจากแดคเลย เข้าตรงๆเลย แล้วขา 5 ผมเอาสัญญาณ ออกตรงๆเลย แต่ทำไมมันไม่ดังอ่ะครับ (วาดรูปไม่เป็นซะด้วยซิ) ไม่รู้น้าแว่นอ่านแล้วจะนึกภาพออกไหมครับ
มันผิดตรงไหนอ่ะครับ ขา 5 ที่เป็นขาสัญญาณออก ผมต้องใส่ค่าอาร์ เพื่อป้อนกลับไปขา 1 ไหมอ่ะครับ หรือต่ออาร์ลงกราวน์ไหมอ่ะครับ
ลอง เพิ่ม ตัวต้านทาน อีกสัก 2 ตัวได้มั๊ยครับ
ตัวแรก ค่า 100 โอห์ม ต่อ "คั่น ระหว่าง input กับ ขา 1 "
ตัวที่สอง ค่า 100 โอห์ม ต่อ "แทรก ระหว่าง ขา 5 กับ out put"
แล้วลองดูว่า มันทำงานได้มั๊ย
อย่าลืมต่อ c fillter 10 uf ขึ้นไปที่ขา ไฟเลี้ยงทั้งไฟบวก และไฟลบ (ควรต่อให้ใกล้ ic มากที่สุด)ด้วยนะครับ
มารายงายผลครับ ลองแล้วครับ ดังค่อยมากครับ
ถ้าต่อแบบนี้จะได้ไหมครับ
(http://upload.kippo.com/image.php?id=5E73_515FD90C&jpg) (http://upload.kippo.com/share.php?id=5E73_515FD90C)Thanks: เกมส์ (http://game.kippo.com)
-
คิดว่า น่าจะเป็นแบบนี้มากกว่าไหมครับ
(http://upload.kippo.com/image.php?id=5863_515FEBDD&jpg) (http://upload.kippo.com/share.php?id=5863_515FEBDD)Thanks: เกมส์ (http://game.kippo.com)
-
กำลังจะเริ่มทำ Gainclone มาอ่านเจอพอดี ขอบคุณ อ แว่น ครับ เข้าใจมากขึ้นจริงๆ
-
เป็นกระทู้ที่ดีมากครับผมกำลังหัดทำ 3886อยู่เลย. ถ้าติดปัญหาผมโพสต่อได้รึปล่าวครับ
-
เป็นกระทู้ที่ดีมากครับผมกำลังหัดทำ 3886อยู่เลย. ถ้าติดปัญหาผมโพสต่อได้รึปล่าวครับ
ถ้าปัญหาเรื่องแอมป์ เปิดหัวข้อใหม่ดีกว่าครับ เพราะปัญหาที่เกิดส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ที่วิธีคำนวณหรือเกี่ยวกับชิพ จะไปอยู่กับระบบที่เกี่ยวข้อง กับการวางผังหรือจัดสายสัญญาณต่างๆมากกว่าครับ
-
แวะมาเรียนด้วยคนครับ [0002053E]
-
ครับผม.
-
อ้างอิงจากเรื่องdc offset ครับ พูดตรงๆในการจัดการ
.วิธีแก้อย่างรวดเร็วคือ เอา C ใหญ่ๆ ใส่อนุกรมไว้ที่ RNI เพื่อทำหน้าที่เป็น Integrator ค่อยๆกำจัดส่วนเกินออก จนกระทั่งใกล้ 0 (กราวด์) มากขึ้น. Cตัวใหญ่ๆ ประมาณเท่าไหร่หรอครับ สามารถคำนวณหรือดูจากอะไรได้บ้างเพื่อประมาณหาค่าC ที่ต้องการได้ครับ
-
อ้างอิงจากเรื่องdc offset ครับ พูดตรงๆในการจัดการ
.วิธีแก้อย่างรวดเร็วคือ เอา C ใหญ่ๆ ใส่อนุกรมไว้ที่ RNI เพื่อทำหน้าที่เป็น Integrator ค่อยๆกำจัดส่วนเกินออก จนกระทั่งใกล้ 0 (กราวด์) มากขึ้น. Cตัวใหญ่ๆ ประมาณเท่าไหร่หรอครับ สามารถคำนวณหรือดูจากอะไรได้บ้างเพื่อประมาณหาค่าC ที่ต้องการได้ครับ
ค่าตรงนี้ใช้กันตั้งแต่ 22uF ถึง 1000uF
ค่าน้อย ตัว integrator จะไว แต่ตอบสนองเบสล่างได้ไม่มากนัก
แต่ถ้าใช้ค่ามาก เบสล่างทำได้ดี แต่การแก้ offset จะช้าลงตามครับ
-
อ้างอิงจากเรื่องdc offset ครับ พูดตรงๆในการจัดการ
.วิธีแก้อย่างรวดเร็วคือ เอา C ใหญ่ๆ ใส่อนุกรมไว้ที่ RNI เพื่อทำหน้าที่เป็น Integrator ค่อยๆกำจัดส่วนเกินออก จนกระทั่งใกล้ 0 (กราวด์) มากขึ้น. Cตัวใหญ่ๆ ประมาณเท่าไหร่หรอครับ สามารถคำนวณหรือดูจากอะไรได้บ้างเพื่อประมาณหาค่าC ที่ต้องการได้ครับ
ค่าตรงนี้ใช้กันตั้งแต่ 22uF ถึง 1000uF
ค่าน้อย ตัว integrator จะไว แต่ตอบสนองเบสล่างได้ไม่มากนัก
แต่ถ้าใช้ค่ามาก เบสล่างทำได้ดี แต่การแก้ offset จะช้าลงตามครับ
ขอบคุณมากครับ.
-
รบกวนช่วยดูวงจรนี้หน่อยครับ น่าทำมั้ย ซับ เบส กลาง แหลม ออกแบบมาเหมาะสมหรือเปล่า วานผู้รู้ช่วยบอกหน่อยว่า วงจรแต่ละส่วน มีจุดตัดที่เท่าไหร่ อยากลองทำเอามาใช้ในรถครับ
(http://www.mx7.com/i/968/WMyg9g.jpg) (http://www.mx7.com/view2/yAi1IcQSCtUPkKqH)
-
รบกวนช่วยดูวงจรนี้หน่อยครับ น่าทำมั้ย ซับ เบส กลาง แหลม ออกแบบมาเหมาะสมหรือเปล่า วานผู้รู้ช่วยบอกหน่อยว่า วงจรแต่ละส่วน มีจุดตัดที่เท่าไหร่ อยากลองทำเอามาใช้ในรถครับ
([url]http://www.mx7.com/i/968/WMyg9g.jpg[/url]) ([url]http://www.mx7.com/view2/yAi1IcQSCtUPkKqH[/url])
อุ๊ย ถ้าขนาดนี้ ท่านต้องเอาวงจรไปทดสอบกับ simulator แล้วละครับ
-
ลองซิมดูบ้างแล้วเหมือนครับ แต่ไมค่อยแน่ใจว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า
-
รบกวนเขียนเรื่อง DC Servo การออกแบบ การนำไปใช้หน่อยได้ไหมครับ อิอิ จักขอบพระคุณอย่างมากครับ [enjoyment] [enjoyment]
-
ลองดูจากที่นี่ดูครับ >>> http://waynestegall.com/audio/simpledcservos.htm (http://waynestegall.com/audio/simpledcservos.htm)
-
รบกวนเขียนเรื่อง DC Servo การออกแบบ การนำไปใช้หน่อยได้ไหมครับ อิอิ จักขอบพระคุณอย่างมากครับ [enjoyment] [enjoyment]
หลักการคือหาวิธีตัด DC Offset ด้วยการป้อนกลับ แก้เอาต์พุตไม่ให้ปล่อย DC ออกมา
เพราะเชื่อว่าการต่อตรง ไดเร็กคัปปลิ้ง ไม่มี C คั่นอินพุต จะทำให้เสียงไม่ถูกปรุงเพิ่มจาก C
แต่ในความเป็นจริง ถ้า input offset มีเข้ามาสูงมาก จุดทำงานของอุปกรณ์ภาคหน้าก็เลื่อนขึ้นตาม offset เสียงก็เปลี่ยนจากจุดสมดุล 0 อยู่ดี
ไม่รวมจังหวะเปิดเครื่องครั้งแรก ที่ระบบ servo จะต้องใช้เวลาซักพักในการปรับตัว ดังนั้นใครทำแอมป์ที่มี servo แต่ไม่ใส่วงจรป้องกันลำโพง จะมีปัญหาแน่ๆ
หรือแม้กระทั่ง เดินสะดุดสายอินพุตหลุด หรือสายขาด แอมป์จะพยายามปรับสถานะเอาต์พุตตลอด ถ้าป้องกันไม่ดี ก็ออสซิลเลตไหม้ตายเป็นประจำครับ
-
ขอบคุณน้าทั้งสองมากครับที่ชี้แจง หลังจากที่อ่านแล้วพบว่ายุ่งยากพอสมควร [chick-confuse]
สงสัยพื้นฐานผมยังไม่แน่นพอ แหะๆ สงสัยโครการออกแบบแอมป์ที่มีเซอโวคงต้องพับไป 5555