ระบบตัวเลขรหัสหลอดมาตรฐาน RMA (Radio Manufacturers Association)
ปี 1942-1944 เริ่่มมีการกำหนดให้เป็นมาตรฐานเบอร์หลอดอเมริกา เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันโดยใช้ระบบตัวเลขผสมตัวอักษร เพื่อใช้อธิบายพื้นฐานข้อมูลคุณสมบัติเกี่ยวกับหลอดนั้นๆ
หมาย เหตุ: เบอร์หลอดที่มีเลขสองหลัก ( เช่น #45, #50, #80) และเลขสามหลัก (เช่น #245, #845) เป็นหลอดที่ผลิตมาก่อนกำหนดมาตรฐาน RMA หลอดเลขสี่หลักที่ใช้ในอุตสาหกรรมไม่ได้อยู่ในมาตรฐาน RMA เช่นกัน
เบอร์ หลอดตามมาตรฐาน RMA จะประกอบไปด้วยตัวแรกเป็นตัวเลข ตามด้วยตัวอักษรหนึ่งหรือสองตัว ตามด้วยตัวเลข และอาจจะมีปิดท้ายด้วยตัวอักษรมากกว่าหนึ่งตัว
เบอร์หลอดบางเบอร์ดูเหมือนจะคล้ายมาตรฐาน RMA แต่จริงๆแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เช่น 2D21 เป็นต้น
ความหมายของตัวอักษรและตัวเลขที่ใช้ตามมาตรฐาน RMA จะมีดังนี้:
I. ตัวเลขชุดแรก
ตัวเลขหนึ่งหรือสองตัวแรกจะบอกถึงแรงดันจุดไส้หลอด/ฮีตเตอร์ โดยตัดทศนิยมทิ้่ง หลอดคาโธดเย็น (Cold-cathode) ใช้เลข ?0?
ยกเว้นหลอดเหล่านี้:
* หลอดที่มีแรงดันไส้หลอดเท่ากับ 2.0V หรือต่ำกว่าจะใช้เลข ?1?
* หลอดขาแบบ Loctal จะใช้เลข ?7? สำหรับแรงดันไส้หลอด 6.3V และเลข ?14? สำหรับแรงดันไส้หลอด 12.6V
ตัวอย่าง:
* 2A3 แรงดันไส้หลอดเท่ากับ 2.5V โดย 2.5 ถูกตัดทศนิยมทิ้งเหลือ 2,
* 1LA6 แรงดันไส้หลอด 1.4V โดยตัดทศนิยมทิ้งให้เหลือเลข ?1?
* 1A6 แรงดันไส้หลอด 2.0V ใช้ตัวเลข ?1?
* 7N7 เป็นหลอดขา Loctal แรงดันจุดไส้หลอด 6.3V 14A4 เป็นหลอด Loctal แรงดันจุดไส้หลอด 12.6V
* 0A2 เป็นหลอดเรกูเลตแบบคาโธดเย็น
II. ชุดตัวอักษรที่อยู่ระหว่างตัวเลข
ตัวอักษรหนึ่ง หรือสองตัวที่อยู่ระหว่างตัวเลขจะเรียกว่า ?serial letter?
* หลอดเรคติฟายจะเริ่มต้นด้วยตัวอักษร Z ไล่ย้อนหลังตามลำดับตัวอักษร (เช่น: 5Z3)
* หลอดอื่นๆจะไล่ตามลำดับตัวอักษรปกติเริ่มจาก A (เช่น: 6A3)
ลำดับ จะเริ่มจากตัวอักษรตัวเดียว เมื่อใช้ไปจนหมดจึงจะเพิ่มตัวอักษรตัวที่สองนำหน้าตัวอักษรเดิมโดยเริ่มจาก A ถ้าซ้ำกับตัวแรกก็จะใช้ตัวอักษรถัดไปเช่น ?B? หรือ ?C? เป็นต้น
ตัวอย่าง:
* 6K6 เป็นเบอร์ที่มีการกำหนดไปแล้ว ถ้ามีการพัฒนาหลอดขึ้นมาใหม่ที่มีแรงดันจุดไส้หลอด 6.3V และมีส่วนประกอบภายใน 6 ส่วนก็จะใช้เบอร์หลอดเป็น 6AK6 ถ้ามีการพัฒนาหลอดขึ้นมาใหม่อีกที่มีแรงดันจุดไส้หลอด 6.3V และมีส่วนประกอบภายใน 6 ส่วนก็จะใช้เบอร์หลอดเป็น 6BK6
ข้อยกเว้นการใช้ตัวอักษร ?S? :
* ตัวอักษร ?S? ที่ใช้นำหน้าชุดตัวอักษรหมายถึง ?single-ended? จะบอกถึงหลอดที่พัฒนาจากหลอดที่มีแนวการออกแบบหลอดในยุคเก่าที่จะมีส่วนควบ คุมปกติจะเป็นคอนโทรลกริดอยู่ตรงหัวจุกของหลอด ถ้าเป็นแนวการออกแบบหลอดยุคใหม่จะให้ส่วนควบคุมอยู่ตรงฐานหลอด
* ตัวอย่าง: 6K7 เป็นหลอดหัวจุก หลอด 6SK7 จะไม่มีหัวจุก
* อย่าสับสนกับ ?S? ที่อยู่ต่อท้ายเช่นหลอดเบอร์ 57S จะไม่เกี่ยวข้องกัน
III. ตัวเลขชุดท้าย
ตัวเลขชุดท้ายที่อยู่ต่อกับ ?serial letter? จะบอกถึงจำนวนส่วนประกอบที่ใช้งานภายในหลอดเบอร์นั้นๆ ส่วนประกอบที่ใช้งานจะเชื่อมต่อกับขาหลอดที่สามารถต่อใช้งานกับวงจรภายนอก ได้ โดยส่วนประกอบที่จะงานจะนับรวมทั้งไส้หลอด ซัพเพรสเซอร์กริด ถ้าชีลด์ถูกต่อกับขาหลอดก็จะถูกนับรวมด้วยเช่นกัน
ตัวอย่าง:
* 6L6 = ตัวเลขสุดท้าย ?6? จะบอกถึงว่าหลอด 6L6 มีส่วนประกอบที่ใช้งาน 6 ส่วนคือ: ไส้หลอด, เพลท, คอนโทรลกริด, สกรีนกริด, คาโธด และซัพเพรสเซอร์กริด
* 2A5 = จะมีส่วนประกอบที่ใช้งาน 5 ส่วนคือ ไส้หลอด, เพลท, คอนโทรลกริด, สกรีนกริด และคาโธด หลอดเพนโทดจะมีซัพเพรสเซอร์กริด แต่ซัพเพรสเซอร์กริดไ่ม่ได้ต่อกับขาหลอด จึงไม่นับว่าเป็นส่วนประกอบที่ใช้งาน
IV. ตัวอักษรต่อท้าย
ตัวอักษรต่อท้ายเป็นตัวบอกถึงคุณสมบัติทางกายภาพของหลอดชนิดเดียวกัน ตัวอักษรที่ต่อท้ายอาจจะมีมากกว่าหนึ่งตัว
เช่น: 5Y3WGTA เป็นหลอดที่ออกแบบมาสำหรับงานทางการทหาร จะมีขนาดตัวแก้วที่เล็กกว่า และแนวการออกแบบที่ใหม่กว่า 5Y3G เดิม
ตัวอักษรต่อท้ายที่ควรจำ:
* G = ตัวหลอดชั้นนอกสุดเป็นแก้ว
* W = โครงสร้างแน่นตามมาตรฐาน ?MIL-1-A? ทางการทหาร ดังนั้นหลอดที่มีตัวอักษรต่อท้าย W จะเป็นหลอดในคลังของทหาร
เพื่อให้ครอบคลุมกับทุกกรณีตัวอักษรต่อท้ายอื่นๆมีความหมายดังนี้:
* (ไม่มีตัวต่อท้าย) = ถ้าไม่มีตัวต่อท้ายใดๆก็ไม่ได้บอกถึงคุณสมบัติอะไรเพิ่มเติม ถ้าเราทราบว่าหลอดเบอร์นั้นๆมีทั้งหลอดแก้วและหลอดเหล็ก หลอดที่ไม่มีตัวต่อท้ายก็จะเป็นหลอดเหล็ก เช่น 6L6, 6F6, 6V6, 6N6 เป็นต้น ถ้ามีเฉพาะหลอดแก้วอย่างเดียวหลอดที่ไม่มีตัวอักษรต่อท้ายก็จะเป็นต้นฉบับ การออกแบบ (original design) เช่น 2A3, 6A3 เป็นต้น
* A = เป็นลำดับการพัฒนาในลำดับที่สอง ของหลอดเบอร์เดียวกัน โดยปรับปรุงให้ดีขึ้นมาอีกระดับ หรืออาจจะมีความทนทานมากกว่าเดิม โดยยังคงคุณสมบัติการทำงานเหมือนเดิม ปกติหลอดที่ลงท้ายด้วย ?A? จะปรับปรุงในเรื่องการลดเวลาการอุ่นไส้หลอด การลดสัญญาณรบกวน การลดฮัม
* B = เป็นลำดับการพัฒนาในลำดับที่สาม ของหลอดเบอร์เดียวกัน โดยปรับปรุงให้ดีขึ้นมาอีกระดับ หรืออาจจะมีความทนทานมากกว่าเดิม โดยยังคงคุณสมบัติการทำงานเหมือนเดิม
* C = เป็นลำดับการพัฒนาในลำดับที่สาม ของหลอดเบอร์เดียวกัน โดยปรับปรุงให้ดีขึ้นมาอีกระดับ หรืออาจจะมีความทนทานมากกว่าเดิม โดยยังคงคุณสมบัติการทำงานเหมือนเดิม
* G = เป็นหลอดแก้ว ฐานหลอด Octal เบอร์จะเหมือนกับหลอดเหล็ก
* GB = เป็นหลอดแก้วขนาด T-5?
* GL = เป็นหลอดแก้วขนาด T9 ฐานหลอด Loctal
* GM or MG = หลอดแก้วหุ้มด้วยโลหะ ฐานหลอด Octal
* LM = เป็นหลอดเหล็กขนาด MT-8 ฐานหลอด Octalox
* LT = เป็นหลอดแก้ว T9 ฐานหลอด Octalox
* M = เป็นหลอดเหล็ก ฐานหลอด Octal
* ML = เป็นหลอดเหล็ก ขนาด T9 ฐานหลอด Loctal
* M-R = ไม่เกี่ยวกับการบ่งบอกเชิงเทคนิคใดๆ ตัวอักษร ?MR? จะบอกถึงว่าเป็นหลอดที่ผลิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บอกถึงว่าเป็นหลอดสำหรับ ?Maintenance and Repair? สำหรับวิทยุของพลเรือน (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทางการทหารจำเป็นต้องใช้หลอดจำนวนมาก จึงมีการผลิตหลอดออกมาจำนวนมาก และยังจำหน่ายให้กับพลเรือนด้วย) M-R จึงไม่มีนัยใดๆเป็นพิเศษสำหรับออดิโอไฟล์
* S= บอกถึงมีการพ่นชีลด์เคลือบภายในหลอดแก้ว
* T = เป็นหลอดแก้วสั้น
* W = โครงสร้างแน่นหนา ตามมาตรฐานทางการทหาร ?MIL-1-A?
* Y = หลอดมีฐานเป็นไมกานอน
สรุปส่งท้าย
การกำหนดเบอร์หลอดตามมาตรฐาน RMA ช่วยให้เราทราบข้อมูลพื้นฐานของหลอดแต่ละเบอร์ดังนี้:
* ทำให้ทราบถึงแรงดันจุดไส้หลอด
* Serial Letter ที่อยู่ติดกับตัวเลขชุดหลัง ทำให้เราทราบว่าเป็นหลอดเรคติฟาย หรือเป็นหลอดอะไร หลอดที่มีลำดับอักษรท้ายๆมักจะเป็นหลอดเรคติฟายเช่น 5Z3, 6W4, 6AX5GT, 5AS4A เป็นต้น แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นเบอร์ 6CA4 ก็เป็นหลอดเรคติฟาย
* ตัวอักษรต่อท้ายทำให้เราทราบถึงคุณสมบัติทางกายภาพของหลอด