ผมเคยก่อกรรมมาแล้วเช่นกัน ที่มาเล่าไม่ใช่มาสารภาพบาป
แต่เอามาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์
สมัยวัยเด็กเรียนชั้น ป.4 ผมมีเพื่อนรักชื่ออ้ายติ๋ม
ด้วผมเป็นคนเรียนเก่ง ก็เลยเป็นที่อิจฉาและริษยาของอ้ายติ๋ม เพราะเขาได้อันดับตามหลังผมตลอด
มูลเหตุที่อ้ายติ๋มเกิดความอิจฉาและริษยานั้นเกิดจากผู้ใหญ่ที่ชอบยกตัวอย่างเปรียบเทียบเวลาสอนลูก
ว่าให้เอาใจใส่การเรียนเหมือนอย่างผม
จากปมเพียงเล็ก ๆ ทำให้เพื่อนกลายเป็นศัตรูขึ้นมาทันที มีเรื่องชกต่อยกันมาตลอด
เรียกว่าเดินสวนทางกันไม่ได้ ไม่มีการหลบให้ทางกัน ต้องชกกันเป็นเอือมระอาของพ่อแม่สองฝ่าย
ระยะหลังอ้ายติ๋มเริ่มใช้เครื่องทุ่นแรงด้วยการใช้หนังสะติ๊กยิงผม
พอผมท้าต่อยอย่างลูกผู้ชายมันก็วิ่งหนี และแอบใช้หนังสะติ๊กยิงผมอีก
สร้างความแค้นใจให้ผมเป็นอย่างมาก
แค้นนี้ต้องชำระ
เมื่อมันแอบทำร้ายผมได้ ผมก็แอบทำร้ายมันบ้าง แคนนี้ต้องเอาคืน
[cursing] [cursing]
คนที่อาศัยอยู่ในท้องทุ่งนาย่อมจะรู้ดีว่า เมื่อถึงฤดูฝนตอนทำนานั้น
ถนนหนทางยังเป็นดิน เมื่อฝนตกจะเฉอะแฉะ และหมดสิทธิที่จะใส่รองเท้าเพราะต้องเดินลุยโคลน
นั่นจึงเป็นหนทางแก้แค้นของผม
ที่ต่างจังหวัดสมัยนั้น มีต้นหนามพุงดอขึ้นเป็นจำนวนมาก

ต้นพุงดอ จะมีหนามแหลมคม และหนามนี้เมื่อปักตำเท้าใคร ปลายแหลมจะหักคาเท้า
จนกว่าเท้านั้นเป็นหนองจึงจะบ่งออกได้ หากใครถูกหนามนี้ตำจะเป็นที่ทรมาน
วันแก้แค้นมาถึง
ผมได้หักเก็บหนามพุงดอเป็นจำนวนเกือบ 200 อัน เพื่อเอาไปทำกับดักให้ปักตำเท้าอ้ายติ๋ม
คราวนี้มันจะได้วิ่งหนี่ไม่ได้ และมาชกกันซึ่งหน้าแบบลูกผู้ชายไม่ใช่ทำร้ายผมเหมือนหมาลอบกัด
คืนวันหนึ่งมีฝนตกหนัก
และก่อนรุ่งสางผมได้นำหนามพุงดอที่หักไว้ ไปจัดการทำกับดัก โดยปักโคนหนามลงพื้นดิน ให้ปลายแหลมโผล่ชี้ฟ้าขึ้นมา
ตั้งแต่ประตูหน้าบ้านอ้ายติ๋ม ไปจนถึงถนนใหญ่ เว้นระยะห่างหนึ่งก้าวคนเดิน
ผมได้สร้างกรรมหนักอย่างใหญ่หลวงในชีวิต
คนในบ้านอ้ายติ๋มทุกคน พ่อ แม่ พี่ น้อง ต่างโดนหนามพุงดอปักเท้าทุกคน
ยกเว้นอ้ายติ๋ม เพราะมีอาการป่วยขึ้นมา จึงไม่ได้ออกบ้าน
ผมสารภาพบาปกับพ่อแม่อ้ายติ๋มเพื่อขอรับผิด ซึ่งพ่อแม่อ้ายติ๋มต่างรู้ดีว่าเราเป็นคู่กัดกันจึงยกโทษไม่เอาความ
กับขอให้เราคืนดีและลดความบาดหมางกัน
ด้วยความแค้นผมไม่ขอคืนดีกับอ้ายติ๋ม แต่จะหยุดเรื่องการชกต่อยทะเลาะวิวาทกัน
เพราะผมสำนึกบาปที่ผู้อื่นต้องมารับเคราะห์แทนอ้ายติ๋ม ซึ่งได้สร้างความโล่งอกให้พ่อแม่อ้ายติ๋มขึ้นมาบ้าง
เราโกรธไม่ยอมมองหน้ากัน แม้กระทั่งเงาของเราทั้งสองก็ไม่ย่างกรายเข้าหากันเป็นเวลานาน 20 กว่าปี
และเมื่อถึงวันที่ผมต้องเข้าโบสถ์เพื่อบวชให้กับพ่อแม่
ตามธรรมเนียมผู้ที่บวชจะต้องไปขออโหสิกรรมแก่ผู้ที่ได้ล่วงเกินไว้ จะได้เข้าบวชด้วยใจที่ไม่ด่างพร้อย
แต่อ้ายติ๋ม กับมาขออโหสิกรรมผมพร้อมกับให้อภัยผมที่เราได้ก่อเวรก่อกรรมกันมา และจะไม่ผูกเวรกับผมอีก
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เราได้พูดคุยและให้อภัยกัน หากเราไม่อโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
เชื่อเถอะว่ายังต้องผูกเวรกันไม่จบไม่สิ้น
แม้ทุกวันนี้ ปมแค้นในอดีตจะทำให้เราคุยกันไม่สนิทใจ
แต่ปมแค้นในใจไม่มีหลงเหลือในใจของเราทั้งสองอีกแล้ว
กับผู้ที่เราล่วงเกินไว้ เมื่อขออโหสิกรรมซึ่งหน้าไม่ได้ ผมจึงแนะนำให้ทำบุญและกรวดน้ำ
แผ่ส่วนกุศลไปถึงเจ้ากรรม นายเวรของเรา เพื่อลดการจองเวรซึ่งกันและกันไง
ผมเล่าจบก็สบายใจเช่นกันครับ
[smile-watermelon]