รบกวนขอคำตอบเกี่ยวกับสายไฟเอซีครับ ( HOT TOPIC )

[yoyoeiei]

อ๋อ สำหรับสาย แลนผมใช้  3 เส้น (1 เส้นจะมีเส้นย่อยขนาด 23 AWG อีก 8 เส้น) เลยครับ เป็น L 2เส้น และ N 1 เส้น ส่วน G ผมก็ใช้สายไฟธรรมดาเบอร์ 12 AWG มัดๆ รวมกัน ครับ

สำหรับ Linn สีส้มเท่าที่สอบถามดูสีส้มจะเป็นรุ่นใหม่กว่า แต่เท่าที่ผมดูข้างในมันก็เหมือนๆ กันกับสีทอง POWERLINE AC LINN K-800 GOLD แต่สีส้มจะนิ่มกว่า

[squid™]

อันเดียวกันล่ะมั้งครับน้า yoyoeiei  linn ชุดนี้

[yoyoeiei]

น้าสรรเสริญครับ ซื้อได้ที่แถวบ้านหม้อ ติดๆกับร้าน ppnresource อ่ะครับ ร้านใหญ่เลย อุปกรณ์พวกสาย AC เพียบ

ขอบคุณครับ สำหรับคำเตือนเรื่องสายแลน  [res]
 เดี๋ยวคืนนี้จะลองถอดสายแลนที่ใช้ๆ อยู่มาดูว่ามีรอยไหม้หรือสายเริ่มมีความแข็ง หรือดูแล้วน่าจะมีความเสี่ยงรึเปล่า

[Alcohol]

แปลว่าเสี่ยงตาย  [reddevil]

ผมว่าน้า audiomania น่าจะเหมาะที่จะเป็นผู้เสี่ยงตายเฉลยว่า ทำไมสาย AC ถึงมีผลกับเสียง...หุหุ

อ่า.. ถามง่าย แต่ตอบให้ตรงประเด็น ถ้าเขียนแบบวิชาการล้วนๆ เดี๋ยวจะงงกันใหญ่  [huh]
คืนนี้หาวิธีอธิบายก่อน เรื่องมันยาว... (เหมือนน้าอัลจั่วไว้เลยครับ ว่าจะเล่าแบบไหนดี  [roll])

คุณแว่น....ช่วยผมอธิบายหน่อยนะ
ผมเองจบการเมืองการปกครอง ไม่เคยคิดว่าจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
แต่พอได้มาเล่นก็ตกหลุมเสน่ห์ของเครื่องเสียง และยิ่งได้มา DIY เองด้วยแล้ว

มันทำให้ต่อมคลายเครียดของผมทำงาน มีความสุขที่ได้จับหัวแร้ง

แต่การเล่าเรื่องที่ต้องอิงทฤษฎีทางด้านไฟฟ้า เพื่อประกอบคำบอกเล่าด้วยนั้น
ผมขอบอกอย่างไม่อายว่าผมไม่มีองค์ความรู้เพียงพอที่จะอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจลึกซึ้งของหลักการทำงาน

แต่ถ้าหากพูดคุยกัน ว่ามันเปลี่ยนไปในแนวทางใดนั้น
ผมมีเรื่องที่จะมาชวนพูด ชวนคุย ตามประสาคนชอบเล่น ชอบฟังได้บ้าง

การเล่าเรื่องของผม จึงเป็นไปในแบบที่เล่น ที่ฟัง ตามที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะไม่พยายามชักนำให้เชื่อตาม
แต่อยากให้ลองเล่น ลองฟัง ด้วยตัวเองมากกว่าครับ
[please]

[rambutan]

อันเดียวกันล่ะมั้งครับน้า yoyoeiei  linn ชุดนี้

เพิ่งไปถอยมาเมตรนึง [roll]

[Alcohol]

อันเดียวกันล่ะมั้งครับน้า yoyoeiei  linn ชุดนี้

เพิ่งไปถอยมาเมตรนึง [roll]

ถอยออกมาทั้งที ถอยแบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกได้ไง
อย่างน้อยต้องมี 5 - 6 ฟุต เผื่อไว้ในโอกาสขยับขยายด้วย

ผมเองชอบเล่นสาย AC ที่ความยาว 6 ฟุต ครับ

[rambutan]

อันเดียวกันล่ะมั้งครับน้า yoyoeiei  linn ชุดนี้

เพิ่งไปถอยมาเมตรนึง [roll]

ถอยออกมาทั้งที ถอยแบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกได้ไง
อย่างน้อยต้องมี 5 - 6 ฟุต เผื่อไว้ในโอกาสขยับขยายด้วย

ผมเองชอบเล่นสาย AC ที่ความยาว 6 ฟุต ครับ

มีสายหน้าตัดใหญ่อยู่แล้ว2เส้น ยาวเส้นละ2เมตรครับ เลยเอามาแค่เมตรเดียว เพราะคิดว่าในอนาคตต้องมีซื้อยี่ห้ออื่นมาเล่นแน่นอน [roll]

[audiomania]

คุณแว่น....ช่วยผมอธิบายหน่อยนะ
ผมเองจบการเมืองการปกครอง ไม่เคยคิดว่าจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
แต่พอได้มาเล่นก็ตกหลุมเสน่ห์ของเครื่องเสียง และยิ่งได้มา DIY เองด้วยแล้ว

มันทำให้ต่อมคลายเครียดของผมทำงาน มีความสุขที่ได้จับหัวแร้ง

แต่การเล่าเรื่องที่ต้องอิงทฤษฎีทางด้านไฟฟ้า เพื่อประกอบคำบอกเล่าด้วยนั้น
ผมขอบอกอย่างไม่อายว่าผมไม่มีองค์ความรู้เพียงพอที่จะอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจลึกซึ้งของหลักการทำงาน

แต่ถ้าหากพูดคุยกัน ว่ามันเปลี่ยนไปในแนวทางใดนั้น
ผมมีเรื่องที่จะมาชวนพูด ชวนคุย ตามประสาคนชอบเล่น ชอบฟังได้บ้าง
การเล่าเรื่องของผม จึงเป็นไปในแบบที่เล่น ที่ฟัง ตามที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะไม่พยายามชักนำให้เชื่อตาม
แต่อยากให้ลองเล่น ลองฟัง ด้วยตัวเองมากกว่าครับ
[please]

แหะๆ.. ผมเล่าในหลักคิดทางทฤษฎีอย่างง่ายๆ ก่อนล่ะครับ ทำไมสายไฟถึงมีผลกันเสียงจริงๆ จะได้เข้าใจมันมากขึ้น และทดลองทำเล่นกันได้ :D

[TOM]

คุณแว่น....ช่วยผมอธิบายหน่อยนะ
ผมเองจบการเมืองการปกครอง ไม่เคยคิดว่าจะมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
แต่พอได้มาเล่นก็ตกหลุมเสน่ห์ของเครื่องเสียง และยิ่งได้มา DIY เองด้วยแล้ว

มันทำให้ต่อมคลายเครียดของผมทำงาน มีความสุขที่ได้จับหัวแร้ง

แต่การเล่าเรื่องที่ต้องอิงทฤษฎีทางด้านไฟฟ้า เพื่อประกอบคำบอกเล่าด้วยนั้น
ผมขอบอกอย่างไม่อายว่าผมไม่มีองค์ความรู้เพียงพอที่จะอธิบายให้คนทั่วไปเข้าใจลึกซึ้งของหลักการทำงาน

แต่ถ้าหากพูดคุยกัน ว่ามันเปลี่ยนไปในแนวทางใดนั้น
ผมมีเรื่องที่จะมาชวนพูด ชวนคุย ตามประสาคนชอบเล่น ชอบฟังได้บ้าง
การเล่าเรื่องของผม จึงเป็นไปในแบบที่เล่น ที่ฟัง ตามที่มีประสบการณ์ ซึ่งจะไม่พยายามชักนำให้เชื่อตาม
แต่อยากให้ลองเล่น ลองฟัง ด้วยตัวเองมากกว่าครับ
[please]

แหะๆ.. ผมเล่าในหลักคิดทางทฤษฎีอย่างง่ายๆ ก่อนล่ะครับ ทำไมสายไฟถึงมีผลกันเสียงจริงๆ จะได้เข้าใจมันมากขึ้น และทดลองทำเล่นกันได้ :D

ผมก็มีความรู้เรื่องไฟฟ้า และ วงจร  ระดับ 0 เช่นกันครับ  แต่ฟังเสียงเมื่อเปลี่ยนสาย AC นะครับ ............. หลักการไม่มี นะครับ

[Alcohol]

สิ่งที่รับรู้ด้วยการสัมผัส หรืออายตนะทั้ง 6 ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ) แต่อธิบายไม่ได้
ขอยกตัวอย่าง เช่น

ความเค็มของเกลือ

ทุกคนรู้ว่าความเค็มของรสเกลือเป็นเช่นใด แต่ถ้าให้บรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือ
หรือพูดออกมาให้คนที่ไม่เคยกินเกลือ รู้ และเข้าใจนั้นเป็นเรื่องยาก

อยู่มาวันหนึ่ง ลูกน้อยวัย 3 ขวบ หยิบก้อนเกลือขึ้นมาเพื่อจะใส่ปาก

เราผู้เป็นพ่อบอกลูกไปว่าด้วยเสียงดัง "อย่าไปกินนะมันเค็ม"
ลูกผู้ไร้เดียงสา ช่างพูด ช่างสงสัย หยุดชะงัก 
ย้อนถามว่า "พ่อ ๆ แล้วเค็มเป็นยังไงเหรอ"

จบกัน แล้วจะอธิบายรสเค็มให้เข้าใจยังไงดีล่ะ

ขนาดว่าเปิดพจนานุกรม ยังได้รับคำตอบอย่างนี้
เค็ม [V] ; be stingy
Syn. ขี้เหนียว, ขี้ตืด
Sample. เจ้าของบ้านเช่าเค็มมาก สลึงเดียวยังเอาเลย
Def. ไม่ยอมเสียเปรียบใคร

เค็ม [ADJ] ; salted
Sample. ผู้สมัครรับเลือกตั้งนำปลาทูเค็มไปแจกชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน
Def. มีรสอย่างเกลือ

เค็ม [V] ; salt
Sample. ปลาแห้งตัวนั้นเค็ม ส่วนปลาตัวนี้จืด
Def. มีรสอย่างเกลือ

สิ่งที่จะบอกเล่าให้เข้าใจได้ จึงต้องให้ชิมรสเกลือด้วยตนเอง
แล้วบอกว่า "นี่นะ ที่กำลังกินอยู่นั้นมันคือเกลือ และสิ่งที่สัมผัสอยู่ปลายลิ้นมันคือ รสเค็ม"

เรื่องของสาย AC ที่มีผลต่อเสียงที่เราได้ยินนั้น มันมีเหตุและผลที่จะอธิบายได้
แต่จะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างไรดี

ที่ผมยกตัวอย่างมาข้างต้นนี้ ขออย่าได้ไปคิดว่าเป็นการดูหมิ่นดูแคลนเชียวนะ
เพียงแต่ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า เรื่องของอาตนะทั้ง 6 เป็นเรื่องของสัมผัส หรือ Sense

บางเรื่องยากที่จะอธิบาย แต่ผมก็มีความหวังจากคุณแว่น
ที่จะมาอธิบายในเชิงหลักการให้เราได้เข้าใจกันครับ 

[post-girl]

ส่วนผมยิ่งไปกันใหญ่เลย จับหัวแร้งยังนิ่งสู้คุณเธอว์ไม่ได้เลย [O.K.] [cry1]
อย่างสายสัญญาณมีผลต่อเสียงยังพอจะดำน้ำไปได้
เพราะมันอยู่ในรูปของ สัญญาณเสียงที่ผ่านการขยายมาหน่อยนึงแล้ว(หรือเปล่าหว่า [headache])
ซึ่งมันมีโทนเสียงและรายละเอียดต่างๆ มากับสัญญาณแล้ว
พอผ่านสายสัญญาณก็จะถูกลดทอนลงไป ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับค่าความต้านทานด้วย
และส่วนไหนไม่ถูกลดทอน หรือลดทอนเพียงน้อยนิดก็จะเด่นออกมา

แต่ไฟมีผลต่อเสียง(ขอยืนยันว่ามีผลจริงๆนะครับ)
โดยผ่านสายไฟที่ความยาวมาตรฐานแบบคุณอา Alcohol  ว่า
อย่างต่ำ 5 ฟุต ที่นิยมใช้กันมากก็ 6 ฟุต ถ้าน้อยกว่านี้ไม่มีบุคลิกสาย
หรือถ้ามากเกินไปก็อั้น หรือไม่ก็กลายเป็นบุคลิกสายบดบังข้อดีของเครื่องไปเลย
แล้วมีผลต่อเสียง ผมไปไม่เป็นจริงๆ ว่ามีผลต่อเสียงทางเทคนิคอย่างไร
กับไฟ 220 v. 50 Hz ผ่านสายไฟแล้วมีผลต่อเสียง ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกันครับ ???

[Guy_Audio]

ต้องขอประทานโทษกระทู้ก่อนหน้าผมลืม log out [roll]

[audiomania]

 :D ฮ่า.. จะพยายามลำดับเรื่องดูทีละส่วนละกันน่ะครับ

เอาเบื้องต้นแล้วค่อยแกะปมเป็นพอจะอธิบายตามทฤษฎีได้ครับ
แล้วค่อยเสริมเนื้อเรื่องปลีกย่อยไปเรื่อยๆ ครับผม

สายไฟใหญ่มักให้ผลดีกว่าสายเล็ก
อย่างน้อยที่สุด ถ้าทองแดงเป็นเกรดเดียวกัน สายใหญ่กว่าก็จะมีความต้านทานน้อยกว่าตามอัตราส่วนล่ะครับ
ก็ย่อมที่จะส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าไปที่เครื่องได้ดีขึ้น

อาจจะมีคำถามว่า เปลี่ยนสายแล้วดีขึ้นให้เห็นได้ยังไง เพราะตามความเข้าใจสายไฟมันก็มีความต้านทานไม่สูงอยู่แล้วนี่นา
ผมจะสมมติกรณี หม้อแปลงแอมป์ขนาด 2200W. ถ้าคิดคร่าวๆ จากสูตรที่คุ้นชิน คำนวณกันเบื้องต้น P=V*I และ V=I*R ได้ P=V*(V/R)
ดูเหมือนว่าความต้านทานของหม้อแปลงตัวนี้ ก็น่าจะเป็น 4.545 โอห์มน่ะสิ สมมติสายไฟ AC ที่ใช้อยู่วัดความต้านทานได้ 0.05 โอห์ม ก็เสียพลังงานไปประมาณ 1% เอง ไม่น่าจะมีผลมากนัก...   [huh]

 :P เกือบถูกครับ แต่ไม่ใช่.. เพราะถ้าลองเอามิเตอร์เข็มวัดที่หม้อแปลง จะพบว่าความต้านทานที่เห็นอาจจะเหลือแค่ 1 โอห์ม
มิเตอร์ไม่ได้เสียครับ และถ้าเรารื้อลวดออกมาวัดใหม่ มันก็ได้ 1 โอห์มเท่าเดิม เป็นค่าที่เราเรียกว่า DC Resistance

ดังนั้นเมื่อเทียบอัตราส่วนตัวนำอีกครั้ง คือสายไฟ + ลวดในหม้อแปลง จะกลายเป็นว่าความต้านทานสาย AC จะอยู่แถวๆ 5% แทนที่จะเป็น 1% อย่างที่คิดไว้ตอนแรก พลังงานจึงถูกส่งผ่านข้ามหม้อแปลงได้ 95% นั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราจะลดการสูญเสียลง วิธีที่ง่ายที่สุดคือหาสายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งค่าความต้านทานจะแปรผันตามขนาดหน้าตัดทองแดง เช่นถ้าของเดิม 1 sq.mm. เพิ่มเป็น 4 sq.mm. ที่ความยาวเท่าเดิม ความต้านทานสายจะลดลงไป 4 เท่าด้วยเช่นกัน เมื่อความต้านทานลด อัตราส่วนการสูญเสียก็ลดลงตาม ทำให้ % พลังงานถ่ายโอนให้หม้อแปลงได้เต็มที่มากขึ้นนั่นเอง กำลังไฟสำรองก็ย่อมมากขึ้นเช่นกัน โหลดดึงกระแสได้เต็มที่มากขึ้น เมื่อไฟผ่าน ไดโอดบริดจ์ + C ก็จะทำให้ Ripple ไฟเลี้ยงจะกระเพื่อมน้อยลง รองรับภาระ Load Regulation ได้ดีขึ้น ผลที่ได้อาจจะแสดงออกมาในรูปเสียงมีพลัง เต็มอิ่ม เสียงนิ่งขึ้น เป็นต้น  [thumb up]

ถ้าเป็นพวกโทรทัศน์จอยักษ์ พลาสม่า LCD เมื่อไฟเรียบขึ้น noise ของไฟเลี้ยงลดลง ก็ย่อมทำให้สัญญาณ sync ภาพต่างๆ ในระบบนิ่งขึ้น เม็ดสีชัดสมบูรณ์มากขึ้นนั่นเอง

คลายประเด็นชวนสงสัยในครั้งนี้
ถามว่าแล้วหม้อแปลงที่เขียนไว้ 2200W. แปลว่าอะไร?
แปลว่าหม้อแปลงนี้สามารถรับและส่งผ่านพลังงานไปที่ปลายทางได้สูงสุดโดยแกนเหล็กไม่อิ่มตัวได้แถวๆ 2200W.
หลักการของหม้อแปลงคืออุปกรณ์ที่ใช้การถ่ายเทพลังงานจากไฟฟ้า ไปเป็นสนามแม่เหล็กวนในแกน แล้วถูกขดลวดที่มีโหลดต่ออยู่ เหนี่ยวนำกลับมาเป็นกระแสไฟฟ้าอีกครับ ซึ่งกระแสไฟที่จะทำให้มีการเปลี่ยนพลังงานแม่เหล็กและส่งผ่านไปได้โดยไม่เกิดการอิ่มตัวในแกนเหล็ก จะต้องอยู่ในรูปไฟสลับอย่างที่ใช้นั่นล่ะครับ เมื่อคิดในการส่งผ่านพลังงานไฟสลับ 50Hz ที่โหลดเต็มที่ตามสเปค จะได้ค่าใกล้เคียง 4.545 โอห์มเป็นอิมพิแดนซ์ (ความต้านทานเชิงซ้อน) ของหม้อแปลงนั่นเอง

[squid™]

กระจ่างเลยครับน้าแว่น เหลือบไปมองข้างหลัง โฮะๆ สายไฟที่ใช้ใหญ่เกือบเท่าข้อมือ สบายไปช่วงนึงล่ะ @~~@

[TOM]

:D ฮ่า.. จะพยายามลำดับเรื่องดูทีละส่วนละกันน่ะครับ

เอาเบื้องต้นแล้วค่อยแกะปมเป็นพอจะอธิบายตามทฤษฎีได้ครับ
แล้วค่อยเสริมเนื้อเรื่องปลีกย่อยไปเรื่อยๆ ครับผม

สายไฟใหญ่มักให้ผลดีกว่าสายเล็ก
อย่างน้อยที่สุด ถ้าทองแดงเป็นเกรดเดียวกัน สายใหญ่กว่าก็จะมีความต้านทานน้อยกว่าตามอัตราส่วนล่ะครับ
ก็ย่อมที่จะส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าไปที่เครื่องได้ดีขึ้น

อาจจะมีคำถามว่า เปลี่ยนสายแล้วดีขึ้นให้เห็นได้ยังไง เพราะตามความเข้าใจสายไฟมันก็มีความต้านทานไม่สูงอยู่แล้วนี่นา
ผมจะสมมติกรณี หม้อแปลงแอมป์ขนาด 2200W. ถ้าคิดคร่าวๆ จากสูตรที่คุ้นชิน คำนวณกันเบื้องต้น P=V*I และ V=I*R ได้ P=V*(V/R)
ดูเหมือนว่าความต้านทานของหม้อแปลงตัวนี้ ก็น่าจะเป็น 4.545 โอห์มน่ะสิ สมมติสายไฟ AC ที่ใช้อยู่วัดความต้านทานได้ 0.05 โอห์ม ก็เสียพลังงานไปประมาณ 1% เอง ไม่น่าจะมีผลมากนัก...   [huh]

 :P เกือบถูกครับ แต่ไม่ใช่.. เพราะถ้าลองเอามิเตอร์เข็มวัดที่หม้อแปลง จะพบว่าความต้านทานที่เห็นอาจจะเหลือแค่ 1 โอห์ม
มิเตอร์ไม่ได้เสียครับ และถ้าเรารื้อลวดออกมาวัดใหม่ มันก็ได้ 1 โอห์มเท่าเดิม เป็นค่าที่เราเรียกว่า DC Resistance

ดังนั้นเมื่อเทียบอัตราส่วนตัวนำอีกครั้ง คือสายไฟ + ลวดในหม้อแปลง จะกลายเป็นว่าความต้านทานสาย AC จะอยู่แถวๆ 5% แทนที่จะเป็น 1% อย่างที่คิดไว้ตอนแรก พลังงานจึงถูกส่งผ่านข้ามหม้อแปลงได้ 95% นั่นเอง

ดังนั้นถ้าเราจะลดการสูญเสียลง วิธีที่ง่ายที่สุดคือหาสายที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งค่าความต้านทานจะแปรผันตามขนาดหน้าตัดทองแดง เช่นถ้าของเดิม 1 sq.mm. เพิ่มเป็น 4 sq.mm. ที่ความยาวเท่าเดิม ความต้านทานสายจะลดลงไป 4 เท่าด้วยเช่นกัน เมื่อความต้านทานลด อัตราส่วนการสูญเสียก็ลดลงตาม ทำให้ % พลังงานถ่ายโอนให้หม้อแปลงได้เต็มที่มากขึ้นนั่นเอง กำลังไฟสำรองก็ย่อมมากขึ้นเช่นกัน โหลดดึงกระแสได้เต็มที่มากขึ้น เมื่อไฟผ่าน ไดโอดบริดจ์ + C ก็จะทำให้ Ripple ไฟเลี้ยงจะกระเพื่อมน้อยลง รองรับภาระ Load Regulation ได้ดีขึ้น ผลที่ได้อาจจะแสดงออกมาในรูปเสียงมีพลัง เต็มอิ่ม เสียงนิ่งขึ้น เป็นต้น  [thumb up]

ถ้าเป็นพวกโทรทัศน์จอยักษ์ พลาสม่า LCD เมื่อไฟเรียบขึ้น noise ของไฟเลี้ยงลดลง ก็ย่อมทำให้สัญญาณ sync ภาพต่างๆ ในระบบนิ่งขึ้น เม็ดสีชัดสมบูรณ์มากขึ้นนั่นเอง

คลายประเด็นชวนสงสัยในครั้งนี้
ถามว่าแล้วหม้อแปลงที่เขียนไว้ 2200W. แปลว่าอะไร?
แปลว่าหม้อแปลงนี้สามารถรับและส่งผ่านพลังงานไปที่ปลายทางได้สูงสุดโดยแกนเหล็กไม่อิ่มตัวได้แถวๆ 2200W.
หลักการของหม้อแปลงคืออุปกรณ์ที่ใช้การถ่ายเทพลังงานจากไฟฟ้า ไปเป็นสนามแม่เหล็กวนในแกน แล้วถูกขดลวดที่มีโหลดต่ออยู่ เหนี่ยวนำกลับมาเป็นกระแสไฟฟ้าอีกครับ ซึ่งกระแสไฟที่จะทำให้มีการเปลี่ยนพลังงานแม่เหล็กและส่งผ่านไปได้โดยไม่เกิดการอิ่มตัวในแกนเหล็ก จะต้องอยู่ในรูปไฟสลับอย่างที่ใช้นั่นล่ะครับ เมื่อคิดในการส่งผ่านพลังงานไฟสลับ 50Hz ที่โหลดเต็มที่ตามสเปค จะได้ค่าใกล้เคียง 4.545 โอห์มเป็นอิมพิแดนซ์ (ความต้านทานเชิงซ้อน) ของหม้อแปลงนั่นเอง

 [res] [res] [))]

[track]

ตามมาเก็บข้อมูลครับ

ผมว่าเสียงน่าจะต่างนะครับกับขนาดสายที่ใหญ่เหมาะสม ขอแชร์แบบไฟฟ้ากำลังละกันครับ ตามปกติถ้าสายใหญ่มันก็ดีกว่าอยู่แล้วครับทางด้าน Impedance ถ้าสายเล็กหรือไม่มีคุณภาพ Impedance อาจสูงกว่า แต่คงไม่มากนักถ้าวัดทางไฟฟ้า แต่ถ้าหูคนผมว่ามันคงต่างกันบ้างละ แต่อาจไม่มาก และถ้าอุปกรณ์เราไม่ถึงกับดีมาก มันก็คงจะทำให้เราแยกเสียงไม่ออกครับ หรือออกยากครับ

[audiomania]

ใช่แล้วครับ เพราะระบบทั้งหมดมันมีหลายๆๆๆๆ ปัจจัยผสมกัน  [thumb up]

ถ้าเราโมเดลอุปกรณ์ต่างๆ สายไฟที่เห็นก็อาจจะไม่ใช่ R เพียงอย่างเดียวก็ได้
การที่เราเอาตัวนำมาขนานกัน มันจะเป็น C เล็กๆ โดยอัตโนมัติ
และเมื่อเอาสายมาฟั่นเป็นเกลียว เราก็จะได้ L ค่าอ่อนๆ ด้วยเช่นกัน

และโหลดก็เป็นอะไรไม่รู้เต็มไปหมด กลายเป็นว่าโมเดลระบบเบื้องต้น จะกลายเป็นแบบตามรูปด้านล่างครับ
โดยรูปจะแสดงดูว่าแบบพ่วงปลั๊กของสองเครื่องในแต่ละแบบ แบบแรก พ่วงที่ปลายปลั๊ก แบบที่สองพ่วงที่หัวปลั๊ก หรือต่อที่เต้ารับผนังคนละจุดนั่นเอง
สิ่งที่ได้ ก็จะมีความต่างกันทางไฟฟ้า   :o ก็ย่อมให้ผลที่ไม่เหมือนกันนั่นล่ะครับ

[wongs2522]

ผมชอบไปหาซื้อสายซื้อหัวท้ายมาเข้าเอง มันได้อารมณ์ diy

จากประสบการณ์อันน้อยนิด ชุดที่บ้าน พอเปลี่ยน แล้วสบายหูขึ้น

[wongs2522]

อันนี้คนที่ conice แนะนำ(ขายของตัวเอง) สาย Supra Lorad

[squid™]

ผมชอบไปหาซื้อสายซื้อหัวท้ายมาเข้าเอง มันได้อารมณ์ diy

จากประสบการณ์อันน้อยนิด ชุดที่บ้าน พอเปลี่ยน แล้วสบายหูขึ้น

น้า wongs2522 มีทริคการใส่หนังงูมั้ยครับ ผมใส่ไม่ได้ซักที ใส่ไปได้ไม่ถึงครึ่งความยาวที่ต้องการซะที

[wongs2522]

ผมชอบไปหาซื้อสายซื้อหัวท้ายมาเข้าเอง มันได้อารมณ์ diy

จากประสบการณ์อันน้อยนิด ชุดที่บ้าน พอเปลี่ยน แล้วสบายหูขึ้น

น้า wongs2522 มีทริคการใส่หนังงูมั้ยครับ ผมใส่ไม่ได้ซักที ใส่ไปได้ไม่ถึงครึ่งความยาวที่ต้องการซะที

มันฟิตไปรึไงครับ

[squid™]

ผมชอบไปหาซื้อสายซื้อหัวท้ายมาเข้าเอง มันได้อารมณ์ diy

จากประสบการณ์อันน้อยนิด ชุดที่บ้าน พอเปลี่ยน แล้วสบายหูขึ้น

น้า wongs2522 มีทริคการใส่หนังงูมั้ยครับ ผมใส่ไม่ได้ซักที ใส่ไปได้ไม่ถึงครึ่งความยาวที่ต้องการซะที

มันฟิตไปรึไงครับ

มันก็ไม่นะครับ ซื้อมาแบบหลวมๆแล้ว แต่มันดันไม่ไปติดทุกทีเลยครับ

[wongs2522]

ผมชอบไปหาซื้อสายซื้อหัวท้ายมาเข้าเอง มันได้อารมณ์ diy

จากประสบการณ์อันน้อยนิด ชุดที่บ้าน พอเปลี่ยน แล้วสบายหูขึ้น

น้า wongs2522 มีทริคการใส่หนังงูมั้ยครับ ผมใส่ไม่ได้ซักที ใส่ไปได้ไม่ถึงครึ่งความยาวที่ต้องการซะที

มันฟิตไปรึไงครับ

มันก็ไม่นะครับ ซื้อมาแบบหลวมๆแล้ว แต่มันดันไม่ไปติดทุกทีเลยครับ

ใส่เข้าไปในสายแล้ว จับมันรูดย่นเข้ามาครับ มันจะพองออกป่องออกครับ

พองใหญ่เลยล่ะ ใส่สบาย ลองดูครับ

[squid™]

ผมชอบไปหาซื้อสายซื้อหัวท้ายมาเข้าเอง มันได้อารมณ์ diy

จากประสบการณ์อันน้อยนิด ชุดที่บ้าน พอเปลี่ยน แล้วสบายหูขึ้น

น้า wongs2522 มีทริคการใส่หนังงูมั้ยครับ ผมใส่ไม่ได้ซักที ใส่ไปได้ไม่ถึงครึ่งความยาวที่ต้องการซะที

มันฟิตไปรึไงครับ

มันก็ไม่นะครับ ซื้อมาแบบหลวมๆแล้ว แต่มันดันไม่ไปติดทุกทีเลยครับ

ใส่เข้าไปในสายแล้ว จับมันรูดย่นเข้ามาครับ มันจะพองออกป่องออกครับ

พองใหญ่เลยล่ะ ใส่สบาย ลองดูครับ

โอ้ เด๋วกลับไปลองได้ผลยังไงจะมาเล่าครับ จะได้มีสายเป็นลายหนังงูมั่ง ตอนนี้ผมไม่ได้หุ้มอะไรเปลีอยไว้อยู่ ถ้าจูนเสียงได้ตามต้องการค่อยใส่ครับ

[Guy_Audio]

คุณ audiomania ทำให้ผมหายสงสัยเลยครับ  [smile22]

[mannjuu]

ใช่แล้วครับ เพราะระบบทั้งหมดมันมีหลายๆๆๆๆ ปัจจัยผสมกัน  [thumb up]

ถ้าเราโมเดลอุปกรณ์ต่างๆ สายไฟที่เห็นก็อาจจะไม่ใช่ R เพียงอย่างเดียวก็ได้
การที่เราเอาตัวนำมาขนานกัน มันจะเป็น C เล็กๆ โดยอัตโนมัติ
และเมื่อเอาสายมาฟั่นเป็นเกลียว เราก็จะได้ L ค่าอ่อนๆ ด้วยเช่นกัน

และโหลดก็เป็นอะไรไม่รู้เต็มไปหมด กลายเป็นว่าโมเดลระบบเบื้องต้น จะกลายเป็นแบบตามรูปด้านล่างครับ
โดยรูปจะแสดงดูว่าแบบพ่วงปลั๊กของสองเครื่องในแต่ละแบบ แบบแรก พ่วงที่ปลายปลั๊ก แบบที่สองพ่วงที่หัวปลั๊ก หรือต่อที่เต้ารับผนังคนละจุดนั่นเอง
สิ่งที่ได้ ก็จะมีความต่างกันทางไฟฟ้า   :o ก็ย่อมให้ผลที่ไม่เหมือนกันนั่นล่ะครับ

งงอ่ะครับน้าแว่น รบกวนขยายความผมหน่อยนะค้าบ  [res] [res]

[audiomania]

ใช่แล้วครับ เพราะระบบทั้งหมดมันมีหลายๆๆๆๆ ปัจจัยผสมกัน  [thumb up]

ถ้าเราโมเดลอุปกรณ์ต่างๆ สายไฟที่เห็นก็อาจจะไม่ใช่ R เพียงอย่างเดียวก็ได้
การที่เราเอาตัวนำมาขนานกัน มันจะเป็น C เล็กๆ โดยอัตโนมัติ
และเมื่อเอาสายมาฟั่นเป็นเกลียว เราก็จะได้ L ค่าอ่อนๆ ด้วยเช่นกัน

และโหลดก็เป็นอะไรไม่รู้เต็มไปหมด กลายเป็นว่าโมเดลระบบเบื้องต้น จะกลายเป็นแบบตามรูปด้านล่างครับ
โดยรูปจะแสดงดูว่าแบบพ่วงปลั๊กของสองเครื่องในแต่ละแบบ แบบแรก พ่วงที่ปลายปลั๊ก แบบที่สองพ่วงที่หัวปลั๊ก หรือต่อที่เต้ารับผนังคนละจุดนั่นเอง
สิ่งที่ได้ ก็จะมีความต่างกันทางไฟฟ้า   :o ก็ย่อมให้ผลที่ไม่เหมือนกันนั่นล่ะครับ

งงอ่ะครับน้าแว่น รบกวนขยายความผมหน่อยนะค้าบ  [res] [res]

คือเบื้องต้นสายไฟจะมีพวกค่า L C แฝงอยู่กลายๆ ซึ่งแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อมีไม่เหมือนกัน
และโหลดก็มองเป็นอุปกรณ์ที่มีความเป็น R L C โหดๆ ด้วยเช่นกัน
คราวนี้รูปโมเดลที่ยกมาให้ดู จะแสดงเปรียบเทียบเรื่องที่หลายๆ คนน่าจะเคยลองสลับเล่นกันคือ รูปที่สองกับสามครับ

รูปสอง จำลองการต่อแบบ ปลั๊กพ่วงจากเต้ารับที่ผนังจุดเดียว มาแยกต่อกับเครื่องสองอย่างที่ปลายทาง เช่น ตัวนึงคืออินทีเกรตแอมป์ และอีกตัวคือ CD ฟังเสียงดูก็จะได้แบบนึง
รูปที่สาม จำลองการต่อสายเพิ่มเติมจากแบบรูปสอง คือเอา CD ออกจากจุดเดิม แล้วโยงอีกเส้นไปต่อที่เต้ารับที่ผนัง ต้นทางโดยตรงอีกจุดนึง และหลายๆครั้ง ที่เสียงที่ได้ยินได้ฟังมีการเปลี่ยนไป ซึ่งมักจะให้ผลในทางที่ดีขึ้น

เพราะแบบสอง ถ้าเราดูโมเดลสายจะเห็นว่าสายเป็นช่องทางเดียวที่ผ่านไฟให้โหลดทั้งสอง และด้วยความเป็นโหลดที่มีการดึงกระแส มี R L C สารพัด นั้นหมายถึงจุดไฟที่ปลายสาย สัญญาณไฟฟ้าจะเริ่มมีการบิดรูปไป ไม่ได้เป็นคลื่นรูป Sine สวยงาม และนั้นก็เป็นจุดร่วมแหล่งจ่ายให้ CD ต้องยอมรับสัญญาณที่มีการบิดรูปไปแล้วด้วยเช่นกัน (รวมถึงพลังงานที่สูญเสียในสาย แล้วรับไฟได้น้อยลงด้วย)

ยิ่งเล่ามา จะงงเพิ่มไหมครับน้า  :P

[mannjuu]

แปลว่าจากรูป
รูปที่สองคือ เต้าผนัง ไปปลั้กพ่วง เข้า Amp + CD
รูปที่สามคือ เต้าผนัง ไป Amp , เต้าผนัง ไป CD
ใช่มั้ยครับ  :D

ขอบคุณครับ

[audiomania]

แปลว่าจากรูป
รูปที่สองคือ เต้าผนัง ไปปลั้กพ่วง เข้า Amp + CD
รูปที่สามคือ เต้าผนัง ไป Amp , เต้าผนัง ไป CD
ใช่มั้ยครับ  :D

ขอบคุณครับ

ใช่แล้วครับ  [thumb up]

[mannjuu]

เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณน้าแว่นมากครับ
ตอบเร็วมาก ถูกใจให้ Gift  [thumb up]